วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

อุดมการณ์ทางการเมืองของลัทธิต่างๆ

เสรีนิยม (Liberalism)
คำว่าเสรีนิยมไม่ได้ถูกนำมาใช้เฉพาะทางการเมืองเท่านั้น แต่มันยังหมายถึงอุดมการณ์ที่เกี่ยวข้องกับค่านิยมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุดมการณ์ในเรื่องสิทธิเสรีภาพ ไม่ว่าจะเป็นการต่อต้านลัทธิทหาร และต่อต้านรัฐสวัสดิการ อุดมการณ์เสรีนิยมยังได้ถูกนำมาใช้ในความหมายว่า ใจกว้าง (Generous) นักปฏิวัติ (Reformist) หรือนักทดลอง (Experimental) อีกด้วยต้นกำเนิดของอุดมการณ์เสรีนิยมซึ่งสามารถย้อนกลับไปได้ถึงช่วงศตวรรษที่ 17 ในช่วงการการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ (Glorious Revolution) เพื่อต่อต้านการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ นักคิดคนสำคัญในอุดมการณ์นี้คือ จอนห์ ล็อค (John Locke) ซึ่งเขาได้สร้างพื้นฐานของแนวความคิดแบบเสรีนิยม ซึ่งยังเป็นที่ใช้การกันอยู่ในปัจจุบันเราสามารถมองแนวความคิดเรื่องเสรีนิยมได้เป็นดังนี้

1. เสรีภาพส่วนบุคคล (Individual Liberty)
เสรีภาพส่วนบุคคลเป็นสิ่งแรกและเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของพวกเสรีนิยม เสรีภาพส่วนบุคคลหมายถึงเสรีภาพที่คนแต่ละคนมีในตัวเอง สามารถทำอะไรก็ได้ด้วยความเต็มใจ โดยไม่มีอำนาจใดๆ เข้า มามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของปัจเจกบุคคล เป็นที่น่าสังเกตว่า แนวความคิดเรื่องเสรีภาพส่วนบุคคลนี้มักจะนำเข้ามาจากตะวันตก ไม่ได้มีต้นกำเนิดในตะวันออก เพราะทางตะวันออกเชื่อว่า หากทุกคนมีเสรีภาพส่วนบุคคลแล้ว สังคมอาจจะเดือดร้อน เพราะแต่ลคนทำตามความต้องการของตัวเอง สำหรับชาวตะวันออกเชื่อกันว่าบุคคลจะต้องให้ความเคารพต่อสังคมก่อน เมื่อไม่มีใครละเมิดสิทธิของสังคม บุคคลก็จะไม่ได้รับการละเมิดสิทธิ สังคมตะวันออกจึงให้ความสำคัญกับสังคมโดยรวม มากกว่าบุคคลนี่เองเป็นความแตกต่างที่นำไปสู่การโต้เถียงอย่างไม่มีวันจบในเรื่องเสรีภาพ ในคำจำกัดความของตะวันตก และตะวันออก

2. ธรรมชาติของมนุษย์ (Human Nature)
พวกเสรีนิยมเป็นพวกที่มีทัศนคติที่ดีต่อธรรมชาติของมนุษย์ พวกนี้มองธรรมชาติของมนุษย์ว่าเกิดมาเป็นคนดีอยู่แล้ว แต่ละคนมีความสมบูรณ์อยู่ในตัวเองโดยที่ไม่จำเป็นต้องมาอยู่ร่วมกัน การรวมตัวกันเป็นสังคมของมนุษย์เกิดขึ้นเพราะต้องการให้เกิดรัฐบาลที่จะทำสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถทำเองได้ อาทิเช่นการแก้ไขปัญหาภัยธรรมชาติ การจัดการศึกษา สุขภาพ หรือการสาธารณูปโภค ความเชื่ที่ว่า มนุษย์เกิดมาดีอยู่แล้วนี้ ทำให้พวกเสรีนิยมเชื่อมั่นในตัวมนุษย์เป็นอย่างมาก

3.เหตุผล (Reason)
เสรีนิยมให้ความสำคัญต่อการใช้เหตุผล และเชื่อมั่นว่าหากมีการใช้เหตุผล ปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสงคราม ผู้ก่อการร้าย ยาเสพติด หรือการแย่งชิงทรัพยากร จะต้องแก้ไขได้ นอกจากนี้พวกเขายังเชื่อว่าสงครามเกิดขึ้นเพราะการเข้าใจผิดหรืออาจจะเป็นการ ใช้เหตุผลไม่เพียงพอ ดังนั้นหากสามารถเพิ่มช่องทางในการติดต่อสื่อสารเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดได้ อาชญากรรมเกิดขึ้นไม่ใช่เพราะคนเลว แต่เป็นเพราะภาวะบีบคั้นทางสังคม หากสังคมดีก็จะไม่มีอาชญากร

4. ความก้าวหน้า (Progress)
พวกเสรีนิยมมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับความก้าวหน้า พวกเขาเชื่อมั่นว่าหากขยายความรู้และเหตุผล และปรับปรุงเศรษฐกิจ สังคมจะพัฒนาไปด้วยกันเป็นเส้นตรง นอกจากนี้คนเราจะต้องหันหน้าออกจากความเชื่อเหนือธรรมชาติไปสู่ความก้าวหน้า ทางวิทยาศาสตร์

5. ความเท่าเทียมกัน (Equality)
พวกเสรีนิยมสนับสนุนความเท่าเทียมกันของโอกาส (Equality of Opportunities) และมีความเชื่อมั่นว่าหากทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกัน แต่ละคนจะดึงความสามารถของตัวเองนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้มากที่สุด

6. ความเป็นสากล (Universalism)
ถึงแม้ว่าพวกเสรีนิยมจะสนับสนุนให้แต่ละคนสามารถคิดได้ด้วยตัวเอง แต่พวกเสรีนิยมกลับไม่ค่อยยอมรับความแตกต่างของแนวความคิดที่ตรงกันข้ามกับพวกเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่นพวกเสรีนิยมเชื่อว่าสิทธิมนุษยชนสามารถใช้ได้เหมือนกันทั่วโลก และพยายามกดดันให้ประเทศอื่นๆ ยอมรับในแนวความคิดของตัวเอง เพราะแนวความคิดของตัวเองใช้การได้ทั่วโลก ตัวอย่างเช่นเรื่องสิทธิมนุษยชน ที่เป็นที่ถกเถียงกันจนถึงปัจจุบันว่าเป็นสิ่งสากลตามที่บางกลุ่มกล่าวอ้าง หรือเป็นวัฒนธรรมของแต่ละชาติ

7. ค่านิยมต่อรัฐบาล (Government)
อุดมการณ์เสรีนิยมถูกสถาปนามาด้วยความเชื่อที่ว่า รัฐบาลจะต้องปกปักรักษาซึ่งความมีเสรีภาพของแต่ละบุคคล โทมัส เพนท (Thomas Paine) นักปฏิวัติคนแรก ๆ ของสหรัฐอเมริกา เขียนไว้ในหนังสือชื่อ Common Sense ไว้ว่า "Society in every state is a blessing, but government, even in its best state, is but a necessary evil" สังคมในทุกๆ รัฐเป็นสังคมที่ดีอยู่แล้ว แต่แม้กระทั่งรัฐบาลที่ดีที่สุดก็คือปิศาจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

8.เสรีภาพทางเศรษฐกิจ (Economic Freedom)
อุดมการณ์แบบเสรีนิยมสนับสนุนการค้าเสรี (Laissez-faire) ในศตวรรษที่ 17 แนวความคิดแบบการค้าเสรีเกิดขึ้นมาเพื่อต่อต้านลัทธิพาณิชย์นิยม (Mercantilism) ซึ่งสนับสนุนการค้าแบบผูกขาดโดยรัฐบาลเสรีนิยม เป็นอุดมการณ์ที่เกิดขึ้นมาในศตวรรษที่ 17 ซึ่ง ในปัจจุบันสภาพสังคม และเศรษฐกิจ มีการเปลี่ยนแปลงไปมากมาย พวกเสรีนิยมในปัจจุบันจึงรับเอาแนวความคิดของพวกอนุรักษ์นิยมมาปรับ โดยเฉพาะในเรื่องเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น พวกเสรีนิยมใหม่ยอมรับความจำเป็นที่จะต้องสร้างรัฐที่มีความเข้มแข็งเพื่อชี้นำธุรกิจ และสร้างรัฐสวัสดิการ นอกจากนี้พวกเขายังสนับสนุนให้รัฐบาลช่วยกำจัดสิ่งปฏิกูลของระบบทุนนิยม เช่น ปัญหาสังคม การไร้ที่อยู่อาศัย และการว่างงาน เป็นต้น


อนุรักษ์นิยม (Conservatism)
อุดมการณ์อนุรักษ์นิยมดูเหมือนว่าจะอยู่คนละขั้วกับพวกเสรีนิยม พวกเสรีนิยมมักจะเรียกพวกอนุรักษ์นิยมว่า Someone who believes nothing should ever be donefor the first time. หรือ คนที่ไม่เชื่อว่าจะมีอะไรที่ควรทำเป็นครั้งแรก” พวกอนุรักษ์นิยมได้รับชื่อว่าเป็นพวกฝ่ายขวา พวกปฏิกริยา (Reactionary) พวกระมัดระวัง (Cautious)ทางสายกลาง (Moderate) และเชื่องช้า (Slow) ตามประวัติศาสตร์ พวกอนุรักษ์นิยมเกิดขึ้นเมื่อประมาณศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็นการต่อต้านอิทธิพลของการปฏิวัติฝรั่งเศส อย่างไรก็ตามรากฐานของอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมสามารถย้อนกลับไปได้ในสมัยกรีกโบราณ โดยเฉพาะแนวปรัชญาทางการเมืองของเพลโต ซึ่งมีความคิดค่อนข้างอนุรักษ์นิยมมาก เราสามารถวิเคราะห์อุดมการณ์อนุรักษ์นิยมได้ดังนี้

1. ระเบียบและความมั่นคง (Order and Stability)
พวกอนุรักษ์นิยมเชื่อมั่นว่าระเบียบและความมั่นคง เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะต้องรักษาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเรื่อง ศาสนา ชาติกำเนิด และความรักชาติ ซึ่งจะต้องเป็นสิ่งที่ควรหวงแหนไว้มากกว่าสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น

2.ความชั่วร้ายของคน (Wickedness of Man)
เช่นเดียวกับความคิดของ โทมัส ฮอบส์ พวกอนุรักษ์นิยมเชื่อว่า มนุษย์เกิดมาพร้อมๆ กับธรรมชาติที่โหดร้าย น่ากลัว ดังนั้นมนุษย์จึงต้องการรัฐบาลมาช่วยทำให้สังคมมนุษย์ไร้ซึ่งความวุ่นวาย และป่าเถื่อน โดยใช้กฎหมาย และศาสนา พวกอนุรักษ์นิยมจึงไม่เชื่อในตัวมนุษย์ ตรงกันข้ามพวกอนุรักษ์นิยมเชื่อในหลักกฎหมาย และสถาบันซึ่งมีการวางราก
ฐานมายาวนาน และมั่นคง

3. ประสบการณ์ (Experience)
อุดมการณ์อนุรักษ์นิยม มีแนวคิดที่เชื่อมั่นในประสบการณ์ มากกว่าเหตุผล ซึ่งไม่ได้หมายความว่าพวกนี้จะเป็นผู้ไม่มีเหตุผล หากแต่พวกเขาไม่เชื่อในแบบร่างของการปฏิวัติไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เพราะเขามีความเห็นในแง่ลบต่อธรรมชาติของมนุษย์ ไม่เชื่อว่ามนุษย์จะเป็นผู้ใช้หลักเหตุผลได้อย่างถูกต้อง

4. ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลัน (Gradual Change)
พวกอนุรักษ์นิยม ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลัน หากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เขาต้องการให้มันเกิดขึ้นอย่างค่อย ๆ เป็น ค่อยๆ ไป ดังนั้นพวกอนุรักษ์นิยมจึงมีความหวาดกลัวต่อการปฏิวัติเป็นอย่างยิ่ง เพราะถือว่าเป็นการถอนราก ถอนโคน ระบบสังคมแบบเดิม หากเลือกได้เขาจะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ

5. เสรีภาพ (Liberty)
อนุรักษ์นิยมไม่ชอบความเท่าเทียมกัน เพราะมันจะเป็นอันตรายต่อเสรีภาพ โดยเนื้อแท้เขาสนับสนุนรัฐบาลที่มีรากฐานอยู่ที่การเป็นผู้ดี และต่อต้านพวกทุนนิยมที่แสวงหาอำนาจด้วยความร่ำรวย และต่อต้านระบอบประชาธิปไตย เพราะมันอยู่ตรงกันข้ามกับระเบียบและความมั่นคง

6. ความหลากหลาย (Diversity)
พวกอนุรักษ์นิยมไม่เชื่อในความเป็นสากล เขาเชื่อว่าถึงแม้ว่ากฎหมายบางฉบับจะใช้การได้ดีในประเทศหนึ่ง แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะใช้ได้ดีในทุกๆ ประเทศ ดังนั้นประเทศแต่ละประเทศควรจะมีวิถีการพัฒนาเป็นของตัวเอง ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละประเทศ

7. รัฐบาล (Government)
รัฐบาลในความคิดของพวกอนุรักษ์นิยมไม่ใช่สิ่งที่ชั่วร้าย รัฐบาลเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะรักษาไว้ ซึ่งความเป็นระเบียบเรียบร้อย และความมั่นคง ในศตวรรษที่ 20 อุดมการณ์ อนุรักษ์นิยมมีความเปลี่ยนแปลงในตัวเองอย่างมาก ถึงแม้ว่าแนวความคิดในเรื่องหลักๆ จะยังคงเหมือนเดิม แต่เรื่องแนวคิดเรื่องวิถีทางเศรษฐกิจของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไป พวกอนุรักษ์นิยมใหม่ (Neo Conservatism) จะมีแนวคิดคล้ายพวกเสรีนิยมเก่าในเรื่องทางด้านเศรษฐกิจ โดยต้องการให้รัฐบาลถูกจำกัดอำนาจในการเข้าไปแทรกแซงทางเศรษฐกิจ ปัจจุบันทั้งพวกอนุรักษ์นิยมใหม่ และพวกเสรีนิยมใหม่ มีความคาบเกี่ยวกันในหลายด้าน แม้กระทั่งในคน ๆ เดียวกัน ในบางกรณีอาจเป็นอนุรักษ์นิยม ในบางกรณีอาจเป็นเสรีนิยม อุดมการณ์ทั้ง 2 ประการจึงไม่สามารถถูกเรียกได้ว่าอยู่ที่ใดที่หนึ่งตลอดไป มันได้ถูกนำมาใช้อธิบายแนวความคิดของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลต่อเหตุการณ์ใด เหตุการณ์หนึ่ง เราไม่จำเป็นต้องขังตัวเองอยู่ในอุดมการณ์แบบใดแบบหนึ่ง เพียงแต่เข้าใจว่าแต่ละประเด็นที่กำลังวิเคราะห์กันอยู่นั้นเรายืนอยู่บนจุดใดก็น่าจะเป็นสิ่งที่เพียงพอแล้ว


ฟาสซิสม์ (Fascism)
คำว่าฟาสซิสม์ ถูกนำมาใช้หลายครั้งในการศึกษาการเมือง การปกครอง ที่จริงอุดมการณ์นี้เป็นอุดมการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่มาก คือในศตวรรษที่ 20 นี้เอง มีต้นกำเนิดที่ประเทศอิตาลี (ในการปฏิวัติ Fasci dazione rivoluzionaria) ในปี 1914 - 1915 รัฐบาลฟาสซิสม์ถูกจัดตั้งขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อนำอิตาลีเข้าสู่สงครามภายใต้การนำของ เบนิโตมุสโสลีนี (Benito Mussolini) ฟาสซิสม์ เป็นอุดมการณ์ทางการเมืองที่เพิ่มประสิทธิภาพในทางการผลิตมากที่สุด ภายในเวลาที่น้อยที่สุด เพราะภายใต้ฟาสซิสม์ สังคมจะดำเนินไปพร้อมๆ กันภายใต้จุดมุ่งหมายเดียวกัน ไม่มีใครคัดค้านการนำของผู้นำสูงสุด 

ในแง่หนึ่งฟาสซิสม์จึงเป็นอุดมการณ์ที่อันตราย เพราะไม่มีฝ่ายใดจะช่วยถ่วงดุลการใช้อำนาจของผู้นำไว้ได้เลย ส่วนความหมายของคำว่าฟาสซิสม์ (Fascism) นั้นถูกนำมาใช้จากศัพท์ลาตินว่า Fasces ซึ่ง แปลว่าการผูกไว้ด้วยกัน แต่ใช้ในความหมายว่า อำนาจที่มาจากความสามัคคี  ชาติที่นำแนวความคิดแบบฟาสซิสม์มาใช้นอกจากอิตาลีแล้ว ยังมีประเทศอื่นที่นำไปใช้อีกคือ สเปนภายใต้การนำของนายพล ฟรังโก (Francisco Franco) และโปรตุเกสภายใต้การนำของ ซาลซาร์ (Antonio Salzar) นอกจากนี้ยังมีนายพล ปิโนเช่ (Augusto Pinochet) และ ปัจจุบันมีคนนอกประเทศสิงคโปร์มักจะพูดกันว่าสิงคโปร์ ภายใต้อิทธิพลของ ลีกวนยู ก็เป็นฟาสซิสม์ในอีกรูปแบบหนึ่งเหมือนกัน แนวความคิดของฟาสซิสม์พอสรุปใจความสำคัญได้ดังนี้

1. แนวความคิดเรื่องรัฐ (State)
ฟาสซิสม์ มีแนวความคิดว่ารัฐมีความสำคัญกว่าปัจเจกบุคคล ซึ่งอยู่คนละขั้วกับเสรีนิยม เพราะเสรีนิยมมองว่าหน้าที่ของรัฐคือการปฏิบัติต่อปัจเจกบุคคล แต่ฟาสซิสม์มองกลับกันคือ ปัจเจกบุคคลจะต้องปฏิบัติรับใช้รัฐ รัฐในความหมายของฟาสซิสม์จึงมีอำนาจเผด็จการ มุสโสลินีมองประเด็นนี้ว่ารัฐเป็น Corporate State โดยประชาชนและกลุ่มธุรกิจต้องทำงานเพื่ออุทิศแก่รัฐ รัฐบาลจะเป็นผู้ชี้ขาดและมีอำนาจสูงสุด ซึ่งต่างกับมาร์กซิสเช่นเดียวกันเพราะเป็นการแบ่งแยกชนชั้นกันชัดเจนระหว่าง ผู้ปกครอง กับผู้ถูกปกครอง นอกจากนี้รัฐบาลของฟาสซิสม์ยังควบคุมทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การสื่อสาร ห้องสมุด และองค์ความรู้ต่างๆ ท่านคิดว่าในประเทศไทยเคยมีการปกครองแบบฟาสซิสม์หรือเปล่า ?

2. ชาตินิยม (Nationalism)
ฟาสซิสม์ มุ่งเน้นความเป็นชาติ ซึ่งตรงกันข้ามกับอุดมการณ์สังคมนิยม ที่มุ่งไปสู่ความไร้ซึ่งพรมแดนของ รัฐ และชาติ ความเป็นชาติมีความหมายถึงประชาชนที่มีเชื้อชาติเดียวกัน ลัทธิฟาสซิสม์สนับสนุนให้ประชาชนอุทิศตนเองให้กับชาติเหนือสิ่งใดๆ ทั้งมวล

3. ต่อต้านเสรีนิยม (Anti-Liberalism)
ฟาสซิสม์ไม่ได้ต่อต้านรัฐที่เป็นเสรีนิยมเท่านั้น แต่ฟาสซิสม์ยังต่อต้านแนวความคิดของพวกเสรีนิยมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นระบบการเมืองแบบรัฐสภา ฟาสซิสม์มองว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีพรรคฝ่ายค้าน เพราะจะทำให้ประเทศพัฒนาไปอย่างเชื่องช้า เพราะมัวแต่ถกเถียงกัน

4. ลัทธิทหารนิยม (Militarianism)
ลัทธิทหารนิยม ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างอำนาจเด็ดขาดสำหรับผู้นำของประเทศฟาสซิสม์ ในกรณีของนโยบายระหว่างประเทศ ลัทธิฟาสซิสม์มักจะรุกรานประเทศอื่นๆ เพื่อดินแดนเพิ่มเติม ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อิตาลี รุกรานเอธิโอเปีย เช่นเดียวกับฮิตเลอร์ที่ฉีกสนธิสัญญาแวร์ซายด์ และบุกประเทศโปแลนด์ในช่วงเดียวกัน ส่วนภายในประเทศลัทธิทหารนิยมก็จะถูกนำมาใช้ปราบปรามผู้ที่มีความเห็นขัดแย้งกับผู้นำ

5. ความเป็นเผด็จการ (Dictator)
ลักษณะ ที่สำคัญอีกประการหนึ่งของลัทธิฟาสซิสม์คือ ความเป็นเผด็จการของผู้นำประเทศแต่เพียงผู้เดียว ในลัทธินาซีเยอรมันผู้นำมีเพียงคนเดียวคือฮิตเลอร์ นอกจากนี้ยังมีการเชิดชูผู้นำหลายวิธีการ ไม่ว่าจะเป็นการติดรูปขนาดใหญ่ การสร้างรูปปั้นของผู้นำทั่วประเทศ และได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้มีความฉลาดสูงสุด และมักจะทำอะไรถูกไปหมด

6. ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ (Anti-Communism)
ฟาสซิสม์ มักจะต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อยู่เสมอ ถึงแม้ว่าฟาสซิสม์จะมีอะไรหลายอย่างคล้ายคลึงกับลัทธิคอมมิวนิสต์ก็ตาม ด้วยฟาสซิสม์เป็นศัตรูโดยตรงกับลัทธิคอมมิวนิสต์นี่เอง ในช่วงสงครามเย็น ประเทศสหรัฐอเมริกาจึงใช้ประเทศเผด็จการทหารแบบฟาสซิสม์ เป็นเครื่องมือในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ เช่นในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียและสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ เป็นต้น 

บางครั้งเราอาจได้ยินคำว่านาซี (National Socialism หรือ Nazism) ได้ถูกนำมาใช้รวมกับฟาสซิสม์เหมือนกัน นาซีภายใต้การนำของฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ถึงแม้ว่านาซีจะมีจุดร่วมเดียวกับฟาสซิสม์ในหลายประเด็น แต่นาซีก็มีความแตกต่างจากฟาสซิสม์เหมือนกัน โดยเฉพาะประเด็นเรื่องเชื้อชาติ (Racism) โดยฮิตเลอร์ได้ชูประเด็นความสูงสุดของเชื้อชาติอารยัน และการต่อต้านคนเชื้อสายยิว ในหนังสืออัตชีวประวัติของฮิตเลอร์ชื่อ MeinKampf (My Struggle) ได้เขียนไว้ว่าเชื้อสายนอร์ดิกอารยัน (Nordic Aryan) เป็นเชื้อสายที่ดีว่าเชื้อสายอื่นๆ โดยทั่วไป ดังนั้นนโยบายของนาซีก็คือการทำให้คนอารยันมีอำนาจปกครองเหนืออารยธรรมอื่นๆ ที่ปกครองโดยเชื้อสายอื่นๆ และต้องทำลายเชื้อชาติยิวให้สิ้นซาก เพราะเชื้อชาติยิวเป็นเชื้อชาติของซาตานบนโลกมนุษย์

แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือต้องรักษาความบริสุทธิ์ของเชื้อสายอารยันไม่ให้ถูกผสมผสานโดยเชื้อสายอื่นๆ ที่ต่ำกว่า

ข้อมูลอ้างอิง