จอห์น วิลเคส บูธ (John Wilkes Booth) |
หลังจากที่มลรัฐต่าง ๆ ของอเมริกาได้รวมประเทศ เรียกว่า สหภาพ (the Union) และประกาศเอกราชไม่ขึ้นต่ออังกฤษได้เพียง 80 ปี ความขัดแย้งอันขมขื่นที่คุกคามความเป็นสหภาพก็ได้อุบัติขึ้น ระหว่างปี ค.ศ. 1861 - 1865 สงคราม กลางเมืองปะทุขึ้น สาเหตุมาจากการใช้แรงงานทาส เพราะในภาคใต้นั้น การใช้แรงงานทาสถูกกฎหมาย ขณะที่ในภาคเหนือถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ( รัฐทางใต้ซึ่งจำเป็นต้องใช้ทาสในการเกษตรกรรมขนาดใหญ่ ในขณะที่ รัฐทางเหนือกลับเป็นรัฐอุตสาหกรรมที่ไม่จำเป็นต้องใช้ทาสมากนัก )
ชนวนสงครามเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดี เมื่ออับราฮัม ลินคอล์น ได้เป็นประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1860 ลินคอล์น ต้องการยุติการใช้แรงงานทาสทั่วประเทศ แต่ปรากฎว่ารัฐทางใต้ไม่ตกลงและค่อย ๆ ถอนตัวออกจากสหภาพทีละรัฐ ๆ แล้วจัดตั้งกลุ่มพันธมิตร เรียกว่า "สมาพันธ์" หรือ "ฝ่ายใต้" (the Confederacy) ซึ่งมีเจฟเฟอร์สัน เดวิส เป็นประธานาธิบดี และมีนายโรเบิร์ต อี.ลี เป็นนายพล (รัฐฝ่ายเหนือ 23 รัฐ กับรัฐฝ่ายใต้ 11 รัฐ)
โรเบิร์ต เอ็ดเวิร์ด ลี ( Robert Edward Lee) (19 มกราคม ค.ศ.1807 - 12 ตุลาคม ค.ศ.1870) |
สงครามระเบิดขึ้นในเดือนเมษายน ค.ศ. 1861 12 เมษายน 1861 ฝ่ายใต้ใช้ปืนใหญ่ระดมยิงป้อมซัมเตอร์ จุดชนวนสงครามกลางเมืองของอเมริกา แม้นายพลโรเบิร์ต อี.ลี ผู้เก่งกาจได้เป็นผู้นำกองทัพฝ่ายใต้ แต่กองทัพของ "สหภาพ" หรือ "ฝ่ายเหนือ" มีกำลังเหนือกว่า รวมทั้งมีอุตสาหกรรมต่าง ๆ สนับสนุนกองทัพ ในขณะที่รายได้หลักของฝ่ายใต้มาจากเกษตรกรรมเท่านั้น สงครามจบลงด้วยใช้ชนะของฝ่ายเหนือ นี้คือจุดเริ่มต้นของของคดีลอบสังหารอับราฮัม ลินคอล์น
วอชิงตัน ดี.ซี สหรัฐอเมริกา
เมื่อสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื่อมานานจะยุติลงแล้ว แต่ดูเหมือนว่าวันนี้ท่านประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น ค่อนข้างทำตัวหดหู่แปลกๆ คืนวันนี้ ท่านนั่งจิบชาอยู่กับ แมรี่ ภรรยาร่างอ้วนของท่าน วอร์ด ฮิลล์ ลามอน เพื่อนของท่านสังเกตุอาการแปลกๆของประธานาธิบดีจึงได้ถาม "วันนี้ดูคุณเคร่งเครียดจัง อับราฮัม" ลามอนเอ่ยขึ้น ประธานาธิบดี พยักหน้าช้าๆ หลายปีแห่งการสู้รบทำให้ท่านอ่อนล้า ร่างกายซูบผอมและอ่อนแอ ผมดำของท่านและหนวดเคราพันกันยุ่งเหยิง เขาเอ่ยขึ้นว่า "คุณว่าแปลกไหมที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงความฝันที่กลายเป็นจริง" ท่านโน้มตัวมาข้างหน้าวางข้อศอกลงบนเข่า "ถ้า เราเชื่อในพระคัมภีร์ เราคงต้องยอมรับว่าสมัยก่อนพระผู้เป็นเจ้าและทูตสวรรค์มักมาหามนุษย์ในความ ฝัน และส่งสารผ่านทางความฝัน ให้เรารู้ล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้น"....ท่านนิ่งเงียบไป นัยน์ตาท่านจ้องมองที่พรม
"คุณเชื่อเรื่องความฝันเหรอค่ะ"แมรี่ถามค่อยๆ
ประธานาธิบดีเอ่ยขึ้นมาว่า "ผมไม่อยากเชื่อหรอก แต่มีอยู่คืนหนึ่งผมฝัน แล้วมันก็หลอกหลอนผมมาจนถึงทุกวันนี้"
แมรี่ ลินคอล์นเป็นหญิงร่างท้วมเตี้ย ขาว ตอนนี้ใบหน้าของเธอขาวซีดขึ้นไปอีก "คุณทำให้ฉันกลัวนะคะ ว่าแต่....ฝันนั้นว่าอะไรหรือค่ะ?"
ชายร่างสูงถอดหายใจ บิดมือเรียวยาวไปมาขณะเล่าถึงความฝันของเขา
"ประมาณ 10 วัน ก่อน ผมนอนดึกมาก ด้วยความเหนื่อย ผมหลับสนิทแล้วฝัน ในฝันนั้นมันเงียบเหมือนความตายห้อมล้อมผมอยู่ ผมได้ยินเสียงคนสะอื้นคล้ายกับว่ามีคนจำนวนมากเศร้าเสียใจ ผมฝันว่าผมลุกจากเตียงลงไปข้างล่าง ที่นั้นผมได้ยินเสียงร้องไห้อีก แต่ผมมองไม่เห็นตัวคน ผมเดินเข้าไปในห้องนี้ออกห้องนั้น แต่ไม่เห็นใครสักคน มีแต่เสียงร่ำไห้ ขณะที่ผมเดินผ่านไป ห้องทุกห้องเปิดไฟสว่างขึ้น แต่ก็ยังไม่เห็นตัวคนอื่นอยู่ดี ผมรู้สึกสับสนและเป็นกังวล ทั้งหมดนี้หมายความว่าอะไรกัน ผมเดินต่อไปจนกระทั่งถึงห้องทางฝั่งตะวันออกแล้วเข้าไป ที่นั้นผมเห็นหีบศพใบหนึ่งอยู่ข้างหน้าผม ข้างในนั้นเป็นร่างที่แต่งกายในชุดเตรียมฝัง มีผ้าคลุมปิดหน้า มีทหารยินเฝ้าอยู่ข้างๆ หีบศพ ฝูงชนอยู่ที่นั่น บ้างก็จ้องมองหีบศพอย่างเศร้าสร้อย บ้างก็ร้องไห้สงสาร ผมถามทหารคนหนึ่งว่าผู้ตายเป็นใคร เขาบอกผมว่าศพนี้คือท่านประธานาธิบดีที่เสียชีวิตจากการถูกลอบสังหาร! และเสียงผู้คนที่ร้องไห้โฮก็ปลุกผมออกจากความฝัน ผมเลยรู้สึกไม่สบายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา" ประธานาธิบดีนิ่งเงียบไป หลังจากเล่าเรื่องความฝันจบ
"ช่างร้ายกาจเหลือเกิน!" แมรี่อุทาน "ดิฉันดีใจที่ตัวเองไม่เชื่อเรื่องความฝัน ไม่อย่างงั้นดิฉันคงจะอยู่ในความกลัวตลอดไป" แล้วเธอก็ออกจากห้อง มุ่งหน้าเข้าไปห้องนอน แต่ลามอนยังติดใจ เขาบอกอับราฮัมว่า "อับราฮัมคุณต้องระวังตัวหน่อยนะ อย่าไปไหนตอนกลางคืน โดยไม่มีผู้คุ้มกัน" ประธานาธิบดียิ้มเนือยๆ "ทำไมถึงมีคนอยากฆ่าผม และถ้าเขาจะทำก็สามารถทำได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือตอนกลางคืน ถ้าเขาพร้อมตาย ช่างเหลวไหลสิ้นดี! ใครกันนะที่พร้อมจะแลกชีวิตกับผม"
14 เมษายน ค.ศ.1863
จอห์น วิลเคส บูธ อายุ 26 ปี เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งในอเมริกายามนั้น บูธเป็นนักแสดงยอดนิยมร่างสูง หน้าตาคมคาย รักการแสดง และโด่งดังมาก แต่นั่นยังไม่เพียงพอ เขายังต้องการชื่อเสียงอีก ชื่อเสียงที่จะยืนยงไปชั่วกาลนาน ต้องการให้คนจดจำว่าเขาเคยทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ซึ่งจะจดจำเมื่อเขาตายไป
จอห์น วิลเคส บูธ อาศัยอยู่ในรัฐภาคเหนือ แต่ในระหว่างสงครามกลางเมือง เขาสนับสนุนฝ่ายใต้ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา แต่มีชายคนหนึ่งที่นำสงครามมาสู่ดินแดนแห่งนี้ บูธเกลียดเขาเสมือนยาพิษ ชายคนนั้นทำให้ฝ่ายใต้พ่ายแพ้ บูธเกลียดเขาคนนั้นจนอยากฆ่าให้ตาย... แม้แลกชีวิตของตน ตนก็ยอม เขาคนนั้นคืออับราฮัม ลินคอล์น
บูธ คิดแผนการสังหาร ตอนแรกเขาวางแผนเป็นกลุ่ม แต่ไม่มีใครอยากเอาชีวิตของตนมาเสี่ยงกับลินคอล์น เขาจำต้องทำงานตามลำพัง แม้จะฆ่าชายคนเดียว เขาคงไม่สามารถฝ่าวงเหล่าผู้คุ้มกันประธานาธิบดีได้ ดังนั้นเขาต้องการโชคช่วย และโชคก็มาถึง
เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 14 เมษายน ค.ศ.1965
วันนั้นประธานาธิบดี ลินคอล์น พร้อมกับภรรยา แมรี ทอดด์ ลินคอล์น ได้เดินทางโดยรถม้าในตอนค่ำ มุ่งหน้าไปยังโรงละครฟอร์ด เธียเตอร์ บนถนนสายที่ 10 ในวอซิงตัน ดี.ซี ในรถม้าประกอบด้วยผู้ว่าการรัฐ เฮนรี่ แรธโบน และคู่หมั่นคลารา แฮร์ริส ทั้งหมดเดินทางไปโรงละครเพื่อชมละครเรื่อง "อาวร์ อเมริกัน เคาซิน(Our American Cousin)" ที่จัดรอบพิเศษเป็นเกียรติฉลองให้กับท่านประธานาธิบดีในวาระที่สงครามกลางเมืองสิ้นสุดลง ซึ่งช่วงเวลานั้นทั่วทั้ง วอชิงตัน ดี.ซี ต่างประดับธงทิวและจุดเทียนเพื่อไว้อาลัยแด่ทหารและประชาชนที่ตายในระหว่างสงคราม ที่จริงท่านประธานธิบดีท่านไม่ชอบดูละครมากนักแต่เพื่อทำให้ภรรยาของท่านสบายใจ และเพื่อสนองความต้องการของประชาชนที่อยากเห็นท่านปรากฏตัวในที่สาธารณะ
ท่านจึงจำต้องตกลงที่จะไปชมละครตลกที่โรงละครฟอร์ด ประธานาธิบดีไม่ได้นั่งปะปนกับประชาชนในที่ชั้นธรรมดา แต่ได้นั่งที่นั่งที่ดีที่สุดในโรงละครฟอร์ด ชั้นบ็อกซ์ข้างเวที มันเป็นที่นั่งส่วนตัว ทางคณะผู้จัดเตรียมที่นั่งไว้ 4 ที่นั่ง มันอยู่ด้านข้างเหนือเวทีซึ่งเป็นตำแหน่งที่ชมฟังละครได้ชัดเจนที่สุด ประชาชนสามารถเห็นท่านได้ทั่ว และมันเป็นที่ซึ่งปลอดภัยเพราะประตูหลังล็อกไว้ ถ้าใครจะฆ่าท่านจะต้องผ่านประตูสีขาวซึ่งมีนายตำรวจติดอาวุธเสียก่อนที่จะเข้าประตูบานนั้นได้ ทันทีที่ลินคอล์นและคณะขึ้นชั้นพิเศษ และปรากฏตัวขึ้นตรงหน้ามุขที่นั่งนั้น ดนตรีก็เริ่มเริ่มเพลงสดุดี เพื่อเป็นเกียรติแด่ท่านประธานาธิบดี และคนในโรงละครทั้งหมดลุกขึ้นยืนปรบมือเพื่อเป็นเกียรติแด่ท่านประธานาธิบดีด้วยเช่นกัน
จอห์น วิลเคส บูธ เป็นนักแสดง ดังนั้นเขาจึงรู้จักทางหนีทางไล่ในโรงละครฟอร์ดดีเหมือนกับรู้จักบ้านเกิด ของตนเอง เขารู้ว่าประธานาธิบดีที่เขาชิงชังจะเดินทางมาที่นั้น ซึ่งบ่ายวันนั้น บูธก็เริ่มแผนการของเขา ก่อนอื่น บูธ เดินเข้าไปในโรงละครเพื่อดูบท แล้วทักทายสวัสดีครับกับเจ้าหน้าที่ของโรงละคร เจ้าหน้าที่เหล่านั้นดีใจมากที่ได้พบคนดังและพาเขาไปนั่งดูตัวแสดงซ้อมบท บูธ นั่งดูการแสดงแล้วจดเวลาการเข้าออกของตัวแสดงแต่ละฉาก เฮนรี่ ฮอว์ค แสดงเดี่ยวอยู่บนเวที บูธคิดว่าช่วงนี้เหมาะแก่การลงมือมากที่สุด เพราะหลังจากฆ่าแล้วเขาจะกระโดดออกจากชั้นบ็อกซ์ของประธานาธิบดี วิ่งข้ามเวทีกับมีดอันใหญ่ในเข็มขัด
บูธนั่งรอเวลาที่ท่านประธานาธิบดีมา อยู่ในห้องนักแสดง และเมื่อท่านประธานาธิบดีมาถึง หลังสี่ทุ่ม ในระหว่างละครกำลังเข้าสู่องก์ที่ 2 ของละคร จอห์น วิลเคส บูธ ได้เดินออกจากห้องแต่งตัวของนักแสดง บูธ เดินตรงมาที่ลอบบี้ของโรงละคร ผ่านเจ้าหน้าที่ได้อย่างง่ายดายด้วยบัตรผ่านพิเศษและมุ่งหน้าไปขึ้นบันได แล้วซ้อมท่องบทพูดประโยคที่สำคัญที่สุดในชีวิตเขาให้กับผู้คุ้มกันที่เฝ้าประตูสีขาวว่า "ผมมีข้อความฝากมาถึงท่านประธานาธิบดีครับ"
บูธ ค่อยๆเดินไปตามขั้นบันไดในเงามืดของโรงละคร บันไดทอดยาวตรงไปที่ประตูของชั้นนั่งพิเศษ และเปิดประตูเข้าไปสู่ที่นั่งของประธานาธิบดี เก้าอี้ผู้คุ้มกันว่างเปล่า นายตำรวจ จอห์น เอฟ พาร์คเกอร์ อยู่ตรงนั้นจนถึง 22.00 น. เขามองไม่เห็นการแสดงเลยเกิดเบื่อขึ้นมาจึงออกจากโรงละครไปกลางคัน เพื่อออกไปหาอะไรดื่มที่ร้านเหล้ากลางเมือง โชคเข้าข้างบูธ อีกครั้ง เขาไม่ได้ใช้ประโยคที่ซ้อมมาแล้ว ชายหนุ่มเปิดประตูสีขาวแล้วใช้ไม้ท่อนขัดบานประตูเสีย จากนั้นก็ย่องไปประตู ของชั้นบ็อกซ์ แอบมองเข้าไปในรูที่เจาะไว้ตรงมุม เสียงของนักแสดงลอยขึ้นจากเวทีข้างล่าง เมื่อสายตาเริ่มชินกับความมืด เขามองเห็นเก้าอี้โยกตัวนั้น และเงาร่างของลินคอล์นที่แสนชิงชังก็ปรากฏต่อสายตาของเขา
บูธ เฝ้าคอยอยู่ ณ ที่นั้น เขารอจนกระทั้งละครดำเนินสู่ช่วงที่ต้องการ การที่ บูธ เป็นนักแสดงทำให้เขารู้ตัวดีว่าตอนไหนของละครที่ผู้คนระเบิดเสียง หัวเราะออกมา บูธ เอื้อมไปหยิบปืนใช้มืออีกข้างค่อยๆหมุนบิดประตู แล้วเลื่อนตัวผ่านความมืดอย่างเงียบเชียบราวกับผงฝุ่นที่กำลังหล่น ศีรษะของประธานาธิบดีอยู่ห่างอีก 1 เมตร มือสังหารในเงามืดยกปืนขึ้น และขยับปืนให้อยู่ระยะยิงที่เขาคิดว่าเหมาะ นัยน์ตาของท่านประธานาธิบดีกำลังจับต้องอยู่ที่เวที นักแสดงชายหญิงค่อยๆ ทยอยกลับเข้าทีละคน เหลือเพียง เฮนรี่ ฮอว์ค บนเวทีนั้น นักแสดงตะโกณขึ้นว่า "แก ไอ้เฒ่าโลซก!" นี้คือประโยคสุดท้ายที่ท่านประธานาธิบดีคนที่ 16 ได้ยิน ผู้คนในโรงละครหัวเราะอื้ออึง.... เสียงหัวเราะดังกลบเสียงคำรามของปืนของบูธเสียสิ้น เขาจ่อยิงลินคอล์นที่ศีรษะด้านหลังแบบเผาขนด้วยปืนสั้นเดอริงเจอร์ ลินคอล์น ล้มฟุบฮวบลงไป กระสุนนัดเดียวทะลุเข้าไปศีรษะของท่านประธานาธิบดี มันวิ่งเข้าทางหลังหูซ้ายแล้วไปทะลุออกทางตาขวา
ปืนสั้นเดอริงเจอร์ |
"นี้คือการแก้แค้นของชาวใต้" บูธร้องตะโกน นาง ลินคอล์น หันมาเห็นชายหนุ่มหน้าตาดีที่ปรากฏกายขึ้นในที่นั่งดูละคร และสงสัยว่าทำไมสามีเธอถึงไม่ขยับกาย ควันจากกระสุนค่อยๆ ลอยไปทางที่เธอนั่ง แสงวูบวาบของเวทีสะท้อนจับมีดของมือสังหาร เสียงหัวเราะจากผู้ชมหยุดลง เสียงกรีดร้องของ แมรี่ ลินคอล์นดังโหยหวนและหวนรำลึกเรื่องฝันของประธานาธิบดีเป็นจริง ผู้ว่าการรัฐ เฮนรี่ แรธโบน ถลันเข้าใส่มือสังหาร แต่ก็ต้องผงะออกมา เมื่อบูธใช้มีดแทงไปที่แขนของเขา และเขากระโจมเข้าชาร์ดอีกครั้ง บูธ ก็กระโดดลงเวที เขาได้รับบาดเจ็บขาหักเพราะเวทีสูงถึง 3 เมตรแต่เขายังสามารถกระโจมหนีต่อไปได้อีก ก่อนที่จะตะโกนไปทั้งโรงละครที่เหล่าผู้ชมกำลังนั่งตัวแข็งด้วยความตกใจสุดขีดว่า "Sicsemper Tyrannis (ไอ้เผด็จการมันต้องโดนแบบนี้)" และวิ่งออกจากโรงละคร ออกทางประตูหลัง ซึ่งเอ็ดมัน สแปงเกอร์ คนดูแลเวทีรอท่าเขาอยู่เปิดประตูให้
ด้านนอกโรงละครนั้นม้าของบูธรออยู่แล้ว บูธกำลังโดนผู้ไล่ล่าอย่างกระชั้นชิด เขาใช้มีดนั้นแทงหน้าอกชายคนหนึ่ง ก่อนที่จะกระโดดขี้นหลังม้าควบหายลับไปในความมืด ขณะนั้นเป็นเวลาสี่ทุ่มครึ่งเล็กน้อย
ในขณะที่ลินคอล์นกำลังบาดเจ็บสาหัสปางตาย เขาถูกนำตัวออกจากโรงละครฟอร์ด แล้วไปยังบ้านฝั่งตรงข้าม เนื่องจากคนอื่นเห็นว่าแผลที่ท่านได้รับอาจกระทบกระเทือนถึงขั้นเสียชีวิต เจ้าของบ้านเปิดห้องนอนของเขา แล้ววางร่างของท่านประธานาธิบดีลงบนเตียงซึ่งมีขนาดเล็กกว่าตัวเขามาก แพทย์หลายคนเข้ามาตรวจอาการต่างลงความเห็นว่าบาดแผนนั้นสาหัสเกินกว่าจะช่วยเหลือไว้ได้ จากนั้นก็ปลดเสื้อผ้าบางชิ้นออก และนำผ้าห่มมาคลุมให้อุ่นเพื่อให้ประธานาธิบดีรู้สึกสบายแม้จะเป็นในวาระสุดท้าย ท่านเสียชีวิตในเช้าวันต่อมา ในเวลาเจ็ดโมงยี่สิบสองนาฬิกา รวมเวลา 7 ชั่วโมงหลังโดนลอบสังหาร
เรื่องที่คนไทยไม่ค่อยรู้
หลายๆคนมักเข้าใจผิดว่า จอห์น วิลเคส บูธ วางแผนและฆ่าลินคอล์นคนเดียว ก็ถูกส่วนหนึ่ง เพียงแต่เรื่องการวางแผนนั้นบูธทำเป็นกลุ่ม ความจริงแผนลอบสังหารลินคอล์นเป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่วางไว้เท่านั้น เพราะในวันที่เกิดเหตุมีแผนเหตุการณ์ลอบสังหารบุคคลสำคัญของอเมริกาอีกราย
แผนลอบสังหารนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับการลอบสังหาร ลินคอล์น เมื่อ หลุยส์ เพน พร้อมกับ เดวิด อี เฮอโรด์ ผู้ร่วมสาบานกับบูธ โดยแยกทางกับบูธเพื่อไปวางแผนฆ่ารัฐมนตรีต่างประเทศ ซีเวิร์ด ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงจากการซื้อแคว้นอลาสก้ามาเป็นของอเมริกาได้ ซึ่งตอนนี้ เขาเพิ่งประสบอุบัติเหตุตกรถม้า ทำให้กรามล่างและแขนขวาหักและกำลังนอนพักรักษาตัว ซึ่งเป็นจังหวะเหมาะแก่การฆ่าอย่างยิ่ง
ในวันที่เกิดเหตุ เพนพร้อมเดวิด เดินทางไปที่พักของรัฐมนตรีเพน โดยให้ เฮอโรด์ ดูลาดเลาอยู่ด้านนอก ภายหลังเฮอโรด์เกิดกลัวขึ้นมากะทันหัน เลยหนีไปก่อนที่เพนจะกลับเข้าไปในคฤหาสน์ เพนสามารถเข้าคฤหาสน์ของ ซีเวิร์ด ได้โดยพูดกับเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูว่าเอาใบสั่งยามาให้ท่านรัฐมนตรี จากนั้นเขาก็บุกเข้าห้องของซีเวิร์ดขึ้นไปชั้นสอง ระหว่างทางเจอบุตรชายของซีเวิร์ดชื่อ เฟรดเดอริก พยายามเข้าขัดขวาง เพนจำต้องชักปืนเพื่อยิงเข้าใส่ แต่เดชะบุญกระสุนด้าน เพนจึงกระโจมเข้าใส่เฟรดเดอริก และกระหน่ำตีที่ศีรษะเฟรเดอริกหลายครั้ง จากนั้นก็ใช้มีดโบวี่ออกมาแทงจนเฟรดเดอริกเลือดท่วมตัวและล้มหมดสติลง เพนมุ่งไปที่ห้องนอนของซีเวิร์ด ท่านรัฐมนตรีนอนป่วยอยู่ในท่าที่แขนขวาของท่านเข้าเฝือก ส่วนคางที่หักถูกดามไว้ด้วยเหล็กและสายหนัง ในขณะนั้นเขาอยู่กับบุตรสาว
จากนั้นเพนถลาเข้าไปหาซีเวิร์ด (ไม่ทันสังเกตว่ามีลูกสาวอยู่ในห้อง) แล้วใช้มีดจ้วงแทงบริเวณคอหอย แต่ปรากฏว่าเขาทำพลาดเพราะเฝือกนั้นหนามาก ทำให้มีดไถลลงไปบาดแก้มของซีเวิร์ด เวลานั้นเอง ออกกัสตัส บุตรชายคนหนึ่งของซีเวิร์ดกับผู้ดูแลชาวนิโกรผ่านมาพอดีและกระโจมเข้าหาเพน แต่เพนสามารถผลักสองคนนี้กระเด็นออกมาและจ้วงแทงแบบบ้าคลั่งจากนั้นก็หลบหนี ออกไปในที่สุด
การหลบหนีของเพนนั้นต่างจากที่วางแผนมาเล็กน้อย เพราะความตกใจเมื่อแผนประสบความล้มเหลว แม้ซีเวิร์ดจะรอดตาย แต่มีการตั้งคำถามว่าทำไมพวกเขาต้องเลือกสังหารซีเวิร์ดด้วย ทั้งๆ ที่ซีเวิร์ดเป็นสมาชิกคณะรัฐบาลที่วางนโยบายขัดขวางการก่อสงครามกลางเมืองของ ลินคอล์น และมักอยู่ฝ่ายตรงข้ามเสมอ ภายหลัง ซีเวิร์ด รอดตาย เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่างประเทศ และสมัยต่อมาเมื่อรองประธานาธิบดี แอนดรูว์ จอห์นสัน ขึ้นเป็นนายก ซีเวิร์ดมีส่วนร่วมร่างนโยบายเอาใจคนผิวขาว ที่จริงวันนั้น ตามที่วางแผนการคือ รองประธานาธิบดีแอนดรู จอห์นสัน แต่มือสังหาร จอร์จ แอตเซอโรดท์ เกิดอาการกลัวขึ้นมา เลยยกเลิกแผนการนี้ไป
เส้นทางการหลบหนี |
ช่วงเวลาเดียวกัน ทางด้านของจอห์น วิลเคล บูธ หลังจากหลบหนีพ้นจากฝูงชนใจกลางวอชิงตัน ดี.ซี สิ่งที่แปลกตามมาคือทันทีที่เกิดการลอบสังหารลินคอล์นเกิดขึ้นและมีการแจ้งข่าวไปยังผู้มีอำนาจทั้งหลาย ซึ่งประกอบด้วย รองประธานาธิบดีจอห์นสัน รัฐมนตรีกระทรวงสงคราม สแตนตัน และรัฐมนตรีกระทรวงนาวี เวลลส์ สแตนตัน
ทันทีได้ทราบข่าว สแตนตันเร่งรุดมายังที่เกิดเหตุทันทีและได้มอบหมายให้มีอำนาจบัญชาการรัฐบาล ชั่วคราว แบบว่าเป็นทั้งอธิบดีกรมตำรวจ เป็นทั้งผู้พิพากษาสูงสุด จนเรียกว่าเผด็จการแบบเบ็ด คำสั่งแรกของสแตนคือ ให้ปิดช่องทางหนีของฆาตกรในทุกทาง ตำรวจพากันล้อมสถานีรถไฟ ในแม่น้ำโปโตแมค ถนนสายหลัก 6 สายของกรุงวอชิงตันถูกปิดโดยกองทหาร แต่น่าแปลกที่สแตนตันได้เปิดช่องทางหนีคือทางไปรัฐแมรี่แลนด์ไว้ แน่นอนเหมือนกับบูธจะรู้ใจสแตนตัน เขาข้ามแม่น้ำโปโคแมคเข้าสู่แมรี่แลนด์ เส้นทางหนึ่งที่เข้าสู่แมรี่แลนด์นั้นคือต้องข้ามสะพานไม้ยาวที่ทอดผ่านแม่น้ำ อนาคอสเซีย สะพานนั้นมีทหารเฝ้าอยู่เสมอ และหลังจากสามทุ่มสะพานนี้จะถูกปิดลง บูธมาถึงสะพานนี้เวลา 10.45 น.บูธได้ขี่ม้ามาถึงสะพานนี้ นายทหารคนหนึ่งชื่อคอปป์ ได้หยุดบูธจากนั้นถามชื่อและจุดหมายปลายทาง บูธบอกชื่อจริงและบอกว่าเขากำลังกลับบ้าน คอปป์ก็ปล่อยเขาอย่างไร้ปัญหา ภายหลังคอปป์ถูกนำสอบสวน โดยเชื่อว่าอาจอยู่ในกลุ่มสมรู้ร่วมคิดแต่ปรากฏว่าไม่มีพิรุธ ที่ปล่อยคนร้ายก็เพราะ "ความไม่รู้" จึงไม่มีความผิดแต่อย่างใด
จากนั้นไม่นาน เดวิด เฮอโรด์ และ เพน ก็ขี่ม้ามาสมทบ และข้ามสะพานเช่นกัน คอปป์ ก็ปล่อยให้ผ่านเหมือนกับบูธ (ภายหลังมีคนขอข้ามสะพาน ชื่อ เฮอโรด์ เจ้าของม้าเช่าขอบอกว่าเฮอโรด์กับเพนเช่าม้าและไม่คืนและเขาเห็นสองคนนั้นออกจากคฤหาสน์ของ ซีเวิร์ดเลยไล่ตามมา แต่ คอปป์ ไม่ฟังคำอ้าง และบอกว่าสะพานปิดแล้ว ทำให้ เฮอโรด์ ต้องไปแจ้งเรื่องม้าหายกับตำรวจในเมือง แต่ตอนนั้นตำรวจไม่เฉลียวใจว่าคดีขโมยม้านั้นเกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร ลินคอล์น
หลังจากข้ามสะพานมาได้แล้ว บูธและพรรคพวกก็มุ่งตรงเซอร์แรตต์วิลล์ บ้านเลขที่ 541 ถนนไฮสตรีต เมืองคลินตัน ทางใต้ของแมรีแลนด์ และตรงไปที่ร้านขายของ แมรี่ เซอร์แรตต์ และผู้ดูแล จอห์น ลอยด์ ซึ่งเป็นกลุ่มวางแผนของบูธคอยอยู่ ซึ่งทำหน้าที่จัดหาข้าวของซึ่งเป็นเสบียงและอาวุธปืนคาร์ไบน์ 2 กระบอกให้บูธ และจัดแจงหาม้าฝีเท้าดีให้อีกด้วยจากนั้นบูธกับพรรคพวกก็มุ่งหน้าทางใต้
ยกแก๊ง
ทางด้านตำรวจหลังรู้ตัวคนลอบสังหารคือ จอห์น วิลเคส บูธ อาชีพนักแสดง ตำรวจทำการตามรอยจนถึงร้านขายของ แมรี่ เซอร์แรตต์ ในวันที่ 15 เมษายน แมรี่ เซอร์แรตต์ถูกเรียกให้ลงมาสอบปากคำ แต่คำให้การของเธอไม่มีอะไรพิรุธและไม่มีประโยชน์มากนัก ตำรวจเลยต้องถอยกลับ
2 วันต่อมา เจ้าหน้าที่กลับไปหาแมรี่อีกครั้ง เพราะมีคนบอกว่าเห็นม้าออกจากบ้านในคืนที่เกิดเหตุ คราวนี้ตำรวจควบคุมแมรี่ เซอร์แรตต์และวิลเลี่ยม เบลล์ คนรับใช้ จากนั้น จอห์น ลอยด์ ก็เข้ามอบตัว ตำรวจกันจอห์นไว้เพื่อเป็นพยานในศาล วันต่อมาตำรวจทำการจับกุม ผู้สมรู้ร่วมคิดสังหารลินคอล์นหลายคน เช่น เอ็มมัน สแปงเลอร์ คนดูแลเวทีที่เป็นคนเปิดทางให้บูธหนี คนต่อมาคือ แซมมวล อาร์โนลด์ ตำรวจจับเขาเพราะในห้องพักของบูธมีจดหมายที่พบในเตาเผาลงชื่อ "แซม" ซึ่ง แซมมวลก็ยอมรับว่าอยู่ในกลุ่มลอบสังหาร เขายินดีที่จะสารภาพและบอกชื่อผู้ร่วมงานซึ่งมีทั้งหมด 7 คน ซึ่งเขากับพวกร่วมประชุมในเดือนมีนาคม
แซมมวลให้การว่าความจริงพวกเขาไม่ได้คิดสังหารลินคอล์น ตอนแรกวางแผนไว้เพื่อลักพาตัวต่างหาก พวกเขาวางแผนลักพาตัว อับราฮัม ลินคอล์น ออกจากโรงละครฟอร์ดและจับไปไว้ที่รัชมอนด์ รัฐเวอร์จีเนีย ซึ่งเป็นฐานใหญ่ของฝ่ายใต้ แล้วทำการข่มขู่กับรัฐบาลของฝ่ายเหนือให้ปล่อยตัวเชลยฝ่ายใต้ออกจากที่คุมขังให้หมด
อาร์โนลด์ ได้ให้ชื่อผู้ร่วมวางแผนนอกเหนือจากนั้นให้ตำรวจทราบ 3 คน คือ ไมเคิล โอลาฟเลน (มือสังหารที่คิดจะฆ่ารองนายกรัฐมนตรีแต่เปลี่ยนใจในภายหลัง), จอร์ด แอตเซอรอดต์ และจอห์น เซอร์แรตต์ ซึ่งเป็นลูกชายของ แมรี เซอร์แรตต์ รายหลังนี้น่าสนใจเพราะจากประวัติบอกว่าจอห์นนั้นเป็นสายลับของฝ่ายใต้ภายใต้ ชื่อรหัสว่า "โมสบี" เขาทำหน้าที่สืบความลับฝ่ายเหนือส่งไปให้ฝ่ายใต้ตลอดในสงครามกลางเมือง ปลายเดือนเมษายน ไมเคิล โอลาฟเลน เดินเข้ามอบตัวกับทางการ วันเดียวกับที่ไมเคิลมอบตัว จอร์จ แอตเซอรอดต์ ถูกจับกุมในห้องพักในโรงแรมเคิร์กวูด ในขณะที่กำลังวางแผนลงมือสังหารรองประธานาธิบดี
ส่วน บูธและพรรคพวก ภายหลังออกจากบ้านของ แมรี่ เขามุ่งหน้าทางใต้ และแวะไปที่ฟาร์มของดอกเตอร์ แซมมวล มัดด์ ซึ่งเป็นหมอ ในขณะที่เพนก็แยกกลุ่มย้อนกลับไปบ้านแมรี เซอร์แรตต์(และเพนก็โดนตำรวจจับที่นั่น) บูธและเดวิด อี เฮอโรด์ได้เข้าพักที่บ้านของดอกเตอร์ แซมมวล มัดด์ และช่วยทำแผลที่ข้อเท้ากระดูกแตกจากการโดดหนีลงมาที่เวทีของบูธ รุ่งเช้าวันต่อมาบูธกับเดวิดก็จากไป
แน่นอนไม่นานนักตำรวจก็แกะรอยมาถึงบ้านดอกเตอร์แซมมวล มัดด์ หมอแซมมวลให้การปฏิเสธว่าไม่รู้จักชายสองคนนั้น และไม่ได้ให้ที่พักกับชายสองคนด้วย แต่ตำรวจพบหลักฐานสำคัญคือ ภายในบ้านรองเท้าของบูธสลักชื่อ "J Willkes"อยู่ด้วย หมอแซมมวลเลยโดนจับ พร้อมถูกสงสัยว่ามีส่วนรู้เห็นในการลอบสังหาร
การติดตามบูธล่วงมาถึงวันที่ 26 เมษายน ทีมล่าติดตามจนมาถึงแม่น้ำแรพปาฮันนอค ในเวอร์จีเนีย เอเวอร์ตัน คองเกอร์ เจ้าหน้าที่สอบถามคนในโรงแรมพบว่าเห็นชาย 2 คน มุ่งตรงไปที่ไร่ของแกร์เรตต์ การไล่ล่าเริ่มถึงจุดสิ้นสุด ตำรวจไปที่ไร่ของ แกร์เรตต์และเรียกชายชรา ออกจากบ้าน แกร์เรตต์บอกตำรวจถึงที่ซ่อนตัวของบูธและแฮโรลด์ ว่าพวกเขาซ่อนอยู่โรงนาคองเกอร์ ตำรวจรีบรุดไปโรงนาทันที แล้วตะโกนบอกให้บูธกับแฮโรลด์ให้ออกมามอบตัว แต่บูธไม่ยอมจำนน ตำรวจเลยขู่ว่าจะเผาโรงนา แต่บูธท้าให้เผา ตำรวจเลยเผาตามคำท้า แฮโรลด์เลยยอมมอบตัว ส่วนบูธยังคงกบดานอยู่ในขณะที่โรงนาเริ่มไฟไหม้โหมหนักขึ้นทุกที เจ้าหน้าที่ตำรวจเลยตัดสินใจบุกเข้าโรงนาเพื่อจับกุม แต่บูธขัดขื่นและยิงปืนต่อสู้ทำให้ทหารนายหนึ่งในกองกำลังไล่ล่ายศจ่าสิบเอก ชื่อ บอสตัน คอร์เบตต์ เหนี่ยวไกสังหาร กระสุนเจาะกะโหลกใส่บูธ แต่บูธไม่ตายทันทีเจ้าหน้าที่พาร่างเขาออกจากบ้านของแกร์เรตต์ แต่ไม่ทันการบูธสิ้นลมเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหวใน 2 ชั่วโมงให้หลัง ก่อนเสียชีวิตนั้นบูธกล่าวคำพูดก่อนตายว่า "บอกแม่ผมทีว่า ผมตายเพื่อชาติ"
ในจำนวนผู้สมรู้ร่วมคิดนั้นมีผู้สมรู้ร่วมคิดที่รอดไปได้คือ จอห์น เซอร์แรตต์ หลังการลอบสังหารลินคอล์น เขาหนีขึ้นเหนือไปทางแคนาดาและข้ามไปอังกฤษ ต่อมาก็อิตาลี จนกระทั้งมาถูกจับกุมตัวที่อียิปต์ในเดือนพฤศจิกายน ปีค.ศ.1866 และถูกส่งตัวกลับอเมริกา
วันที่ 30 มิถุนายน ปีค.ศ. 1865 มีการประหารชีวิตแขวนคอผู้ร่วมวางแผนสังหารลินคอล์น 4 คน คือ |
จอห์น แอตเซอรอตต์ (George atzerodt) |
แมรี่ เซอร์แรตต์ (Mary Surratt) |
หลุยส์ เพน (Lewis Paine) |
เดวิด อี เฮอโรด์ (David E. Herold) |
ในรายของแมรี่ นับว่าเป็นผู้หญิงคนแรกและในประวัติศาสตร์อเมริกาที่ศาลตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ ซึ่งตอนแรกหลายคนพยายามขอลดโทษเพราะเห็นว่าเธอมีอายุมากแล้ว แต่สุดท้ายศาลยืนยันคำตัดสินเดิม "บูธคือพ่อพระของคนใต้" นี้คือคำพูดของนางแมรี่หลังจากถูกตำรวจจับกุม
ส่วนอีก 3 คนคือ
แซมมวล อาร์โนลด์ (Samuel Arnold) |
ไมเคิล โอลาฟเลน (Michael O’Laughlen) |
ดอกเตอร์แซมมวล มัดด์ (Dr. Samuel Mudd) |
ทั้ง 3 คนถูกตัดสินให้จำคุกและทำงานหนักเป็นเวลา 6 ปี
ส่วนทางจอห์น เซอร์แรตต์ (John Surratt)เขาถูกตัดสินให้พ้นโทษในที่สุด |
แม้คดีจะได้รับการพิสูจน์และปิดไปนานแล้ว แต่เมื่อกาลเวลาล่วงเลยไปนานหลังจากนั้น ได้มีผู้สงสัยในการตามล่าตัวผู้ก่อการ และการพิจารณาคดีเกิดขึ้น การสังหารลินคอล์นมันจบง่ายๆ แบบนี้เหรอ? โดย เฉพาะนักเขียนและนักค้นคว้าด้านประวัติศาสตร์อเมริกันหลายต่อหลายคนซึ่งสนใจ เรื่องนี้เป็นพิเศษเลยทำการค้นคว้าเพื่อหาจุดเงื่อมงำของคดีนี้
ลินคอล์นรู้ดีว่ามีคนจ้องเอาชีวิตของเขามาก
บนโต๊ะทำงานของลินคอล์นมีจดหมายขู่เอาชีวิตเขาถึง 80 ฉบับ ลินคอล์นใช้เชือกมัดรวมกันและเอากระดาษแปะด้านบนว่า "ลอบสังหาร" แน่นอนลินคอล์นรู้เรื่องว่ามีคนอื่นเกลียดเขาและอยากฆ่าเขาดี แต่ในความคิดเขาคือการลอบสังหารนั้นไม่ใช้วิธีการของชาวอเมริกัน
แรงจูงใจ
เริ่มจากแรงจูงใจลอบสังหาร มีคำถามเกิดขึ้นว่าจะมีใครสักกี่คนในรัฐทางภาคใต้อยากเห็นลินคอล์นตายไหม คำตอบคือ "ไม่" เพราะการตายของลินคอล์นไม่ช่วยให้ภาคใต้พลิกกลับมาชนะในสงครามกลางเมืองแต่ อย่างใด นอกจากนั้นถ้ากล่าวถึงบูธอย่างเดียวยิ่งแล้วใหญ่เพราะบูธไม่ใช้คนใต้ เขาเกิดในรัฐแมรี่แลนด์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรัฐทางเหนือ ดังนั้นเขาน่าจะเห็นชอบนโยบายของลินคอล์นด้วยซ้ำไป นอกจากนี้บูธยังไม่สนใจเรื่องทาสหรือเศรษฐกิจ หรือด้านอารมณ์ความรู้สึกต่อ ลินคอล์น อย่าลืมว่าเขาเป็นนักแสดง ซึ่งเป็นอาชีพที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย
บูธ ถือกำเนิดจากครอบครัวนักแสดง พ่อเขาคือ จูเนียส วิลคส์ บูธ นักแสดงผู้ยิ่งใหญ่ในอเมริกา แต่ตัวบูธในด้านการแสดงกลับไม่ค่อยมีชื่อเสียงเหมือนบิดาเท่าไหร่ แต่ จากประวัติบูธ จะพบว่าเขาค่อนข้างเป็นคนที่อยากดังพอสมควร มีอยู่ช่วงหนึ่งเมื่องกองทหารของรัฐทางใต้บุกป้อม ฟอร์ต ซัมเทอร์ ในช่วงต้นสงครามกลางเมืองนั้น ในขณะที่บูธกำลังแสดงต่อหน้าผู้คนที่กำลังชมละครนั้นเขาตะโกนขึ้นมาว่า "นั่นเป็นการกระทำที่ช่างกล้าหาญเยี่ยงวีรบุรษที่สุดในประวัติศาสตร์เนอะคนเหนือ” พอดีโรงละครที่บูธตะโกนไม่ใช้โรงละครทางใต้ แต่มันเป็นโรคละครในนิวยอร์คซึ่งเป็นรัฐทางเหนือ ดังนั้นบูธเลยโดนลงโทษถูกเนรเทศออกจากรัฐนิวยอร์คไปโดยทันที
สองปีต่อมา บูธก็เข้าร่วมกลุ่มเคลื่อนไหวใต้ดินที่สนับสนุนฝ่ายใต้ การที่เขาเป็นนักแสดงเลยสามารถเดินเข้าออกเมืองโน้นเมืองนี้ได้ตลอดเวลาและ ติดต่อกับผู้ร่วมขบวนการคนอื่นๆ อย่างลับๆ แต่มีคำถามเกิดขึ้นต่อมาว่า เขากล้าพอที่จะแลกชีวิตกับลินคอล์นหรือไม่ หรือว่ามีใครบางคนอยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของเขา
เรื่องของทหารที่กินเหล้า
Presidential Box - Ford's Theater |
เรื่องของนายตำรวจจอห์น เอฟ พาร์คเกอร์ ที่เฝ้าอยู่แถวประตูสีขาวแล้วเกิดเบื่อการแสดงแล้วไปกินร้านเหล้ากลางเมืองจนเปิดโอกาสให้บูธเดินเข้ามาฆ่าลินคอล์น ความจริงเรื่องนี้มีเบื้องหลัง
มีเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวรายหนึ่งให้การว่าตอนบ่ายของวันที่ 14 เมษายน นั้น ท่านประธานาธิบดีได้ขอร้องรัฐมนตรี สแตนตัน ให้ส่งนายทหารคนสนิทของท่านชื่อ เมเยอร์ เอคคาร์ต ที่เป็นคนรับผิดชอบสูงมาทำหน้าที่ทหารองครักษ์ แต่สแตนตันปฏิเสธและปลด เมเยอร์ ออกโดยไม่ให้เหตุผลที่ออกแต่อย่างใด แล้วส่งพาร์คเกอร์ที่ขี้เมาและไม่รับผิดชอบมาทำหน้าที่แทน ทำให้ฆาตกรอย่างบูธสามารถเดินทางไปสู่ที่นั่งของลินคอล์นได้อย่างสะดวกสบาย
เส้นทางการหลบหนี
ทำไมวันเกิดเหตุนั้นลู่ทางการหนีของบูธจึงราบรื่นมาก จากการข้ามแม่น้ำไปจนถึงปรากฏในไร่ของ แกร์เรตต์ ในอีก 2 สัปดาห์ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งความจริงนั้นยากมากในการหลบหนีได้ไกลขนาดนี้ เนื่องจากข่าวเรื่องประธานาธิบดีถูกยิงนั้นน่าจะเดินทางสู่ส่วนกลางได้อย่างรวดเร็วซึ่งสามารถสกัดฆาตกรได้ทันท่วงที โดยเหตุที่เกิดขึ้นในวอชิงตัน แต่เอาเข้าจริงกว่าจะมีการจัดกำลังในการไล่ล่าก็ปาไปหลายชั่วโมง ทำไมถึงช้านัก? และทำไมกองกำลังไล่ล่าถึงสามารถแกะรอยค้นหาตามตัวบูธได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน?
กลุ่มคนวางแผนสังหารลินคอล์น
ทำไมตัวละครในการวางแผนสังหารลินคอล์นถึงน้อยเกินกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การลอบสังหารประธานาธิบดีอเมริกาควรมีสายและเส้นทางมากกว่านี้ และเรื่องทุกอย่างไม่ควรจบเร็วไป (ประหารชีวิตแล้วเรื่องจบเลย) มันง่ายเกินไป อีกทั้งเส้นทางในการสืบสวนหาทีมสังหารทั้งหมดนั้นเหมือนปูพรมแดงให้ทีมสืบสวนเดินไปเลยทีเดียว
เรื่องของสมุดลับ
President Lincoln's deathbed. Photograph by Petersen's boarder Julius Ulke, April 15, 1865 |
The room in the Petersen House where Lincoln died, across from Ford's Theatre |
หลัง จากบูธถูกยิงเสียชีวิต มีการพบสมุดบันทึกประจำวันซึ่งเขาบันทึกเหตุการณ์ก่อนหน้าการลอบสังหารไว้ไม่นาน เจ้าหน้าที่ได้มอบสมุดบันทึกนี้แก่ สแตนตัน น่าแปลกที่สมุดบันทึกเล่มนั้นที่ควรจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในการสอบสวนคดีนี้ กลับไม่ถูกนำมาใช้ในการพิจารคดีเลย ครั้นเมื่อนายพล เบเกอร์ อดีตหัวหน้าตำรวจลับในช่วงสงครามกลางเมืองได้รับสมุดบันทึกนั้นคืนมาจาก สแตนตัน พบว่าสมุดบันทึกนั้นถูกฉีดไปหลายหน้า ซึ่งทั้ง 8 หน้าที่หายไปนั้นมีการบันทึกเหตุการณ์วันที่บูธลอบสังหารลินคอล์นพอดิบพอดี
จอห์น เซอร์แรตต์
ตอนที่จอห์น เซอร์แรตต์ หนึ่งในกลุ่มวางแผนสังหารลินคอล์น หลบหนีไปยังต่างประเทศ แม้ว่ามีผู้พบเห็นเขาที่อังกฤษและอิตาลีแต่สแตนตันไม่ดำเนินการใดๆ เลย
การตายปริศนาของคนที่อยากรู้ความจริง
หลังคดีนี้สิ้นสุดลงมีผู้สนใจในการสืบค้นหาความจริงเกี่ยวกับการลอบสังหารคดีนี้ชื่อ ลาฟาเอตต์ เบเกอร์ เขาออกมาขุดค้นคดีเขียนเป็นหนังสือเพื่อบอกรายละเอียดของมุมหนึ่งที่คนอื่น ไม่รู้ แต่ภายหลัง เบเกอร์ กลับฆ่าตัวตายปริศนาโดยการวางยาพิษ ภรรยาของ เบเกอร์ใส่ร้ายรัฐบาลว่า รัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของสามีโดยส่งยาพิษให้เบเกอร์ดื่มเพราะเขา ไปรู้อะไรบางอย่างของสมุดของบูธเข้า
4 ปีให้หลัง
4 ปีให้หลังจากที่ลินคอล์นถูกลอบสังหาร บุตรชายเขาเขาคือโรเบิร์ต ลินคอล์นได้เผาเอกสารบางส่วนของบิดา เขาอ้างว่าทำขึ้นเพื่อประโยชน์สุขของสาธารชน เพราะเอกสารเหล่านี้ระบุว่าหนึ่งในรัฐมนตรีที่ร่วมรัฐบาลของพ่อเขาได้ ปฏิบัติการหนึ่งที่ถือว่าทรยศต่อประเทศชาติของตนเอง หรือเขาคนนั้นคือสแตนตัน !?
จากประวัติการทำงานของสแตนตันพบว่า เขาค่อนข้างเป็นคนที่มีความคิดหัวรุนแรงเหมือนกัน เพราะเขาเป็นคนต้นคิดใช้กำลังทหารยึดครองภาคใต้มากกว่าเจรจาปรองดอง ซึ่งแนวคิดนี้ทำให้ฮอลลีวู้ดเกิดความสนใจ มีภาพยนตร์ที่สร้างถึงเรื่องเกี่ยวกับสแตนตันชื่อ เดอะ ลินคอล์น คอนสไปเรซีย์(The Lincoln Conspiracy) ปี 1977 ที่เสนอมุมมองว่าสแตนตันเป็นคนวางแผนฆ่าลินคอล์น และศพที่ถูกยิงในโรงนาแท้จริงไม่ใช้บูธ แต่เป็นชายเคราะห์ร้ายคนหนึ่งที่นำมาเปลี่ยนตัว ซึ่งมีรูปร่างคล้ายบูธนั่นเอง
ใครคือคนอยู่เบื้องหลัง
นักประวัติศาสตร์ได้ค้าหาข้อมูลเกี่ยวกับคนใหญ่คนโตสมัยนั้น ก็พบว่ามีหลายคนที่สมใจที่ประธานาธิบดีลินคอล์นตาย ดังต่อไปนี้
เจฟเฟอร์สัน เดวิส (Jefferson Davis) |
ประธานาธิบดีฝ่ายใต้ ซึ่งครั้งแรกที่ลินคอล์นโดนสังหาร จึงไม่น่าแปลกอะไรที่ต้องโยงเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์ระดับชาตินี้โยงไปถึงเขา
เจคอบ ธอมป์สัน (Jacob Thomson) |
หัวหน้าฝ่ายสืบราชการลับของสหพันธ์ฝ่ายใต้ มีข้อมูลยืนยันว่า บูธและ จอห์น เซอร์แรตต์ ออกไปติดต่อกับเขาก่อนจะเกิดเหตุลอบสังหารลินคอล์นไม่กี่เดือน นอกจากนั้นยังพบจดหมายติดต่อกันระหว่าง ธอมป์สันกับบูธ หลายฉบับเนื้อหาการ ดำเนินการภารกิจบางอย่าง และเป็นไปได้ว่าเดวิด และธอมป์สันมีส่วนรู้เห็นกับการลอบสังหารครั้งนี้
รัฐบางรัฐทางฝ่ายเหนือและเฮ็ดเวิร์ด สแตนตัน (Edward Stanton) |
เชื่อกันว่าน่าจะมีส่วนรู้เห็นกับการลอบสังหาร เพราะเขาโกรธแค้นลินคอล์นมาก เนื่องจากเขาหวังอย่างยิ่งว่าจะโน้มน้าวประธานาธิบดีลินคอล์น ให้รับผิดชอบแผนการฟื้นฟูรัฐบาลฝ่ายใต้หลังสงครามกลางเมือง แต่ต่อมาเขาขัดแย้งต่อลินคอล์นมาก เพราะลินคอล์นหวังใช้วิธีสันติโดยหลังสงครามนั้น ฝ่ายใต้จะมีสิทธิปกครองตนเองและสนับสนุนจากรัฐบาลกลางเพียงรัฐบาลเดียวเท่านั้น โดยไม่มีการแยกสองรัฐบาล
นอกจากนั้นเขายังเป็นหนึ่งในจำนาวน 15 คนที่ปฏิเสธการชมละครในคืนลอบสังหารอีกด้วย โดยเหตุผลที่ไม่ไปเขาบอกว่าเขาเบื่อละครเรื่องนั้น ในขณะที่คนอื่นๆ ที่ติดธุระนั้นรับฟังได้ แต่บางคนก็ให้เหตุผลแปลกๆ เหมือนกันเช่นนายพล แกรนต์ บอกว่าเขากำลังเดินทางต่างเมืองกับภรรยา แม้เบื้องลึกคนอื่นต่างรู้ว่าภรรยาของนายพลไม่กินเส้นกับภรรยาของประธานาธิบดี
เรื่องจริงเป็นยังไง
เป็นไปได้ว่ามีผู้สูญเสียผลประโยชน์จากนโยบายของลินคอล์น ทั้งฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ ที่ลินคอล์นวางนโยบายประนีประนอมและมีแผนลับๆ สังหารคนใหญ่คนโตฝ่ายใต้หลายคน ทำให้ฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ต้องร่วมมือกันสังหารลินคอล์น โดยฝ่ายใต้จัดหาบุคคล วางตัวละครมาให้ ส่วนฝ่ายเหนือจัดฉากดำเนินเรื่องให้ดูเหมือนการแก้แค้นที่มีเหตุมีผล
จนบัดนี้เวลาก็ผ่านไป 100 ปีแล้ว คณะผู้สืบค้นข้อมูลประวัติศาสตร์ยังขยันหาข้อมูลหลักฐานคดีประวัติศาสตร์นี้ อย่างไม่หยุดไม่หย่อน จนกว่าความจริงจะกระจ่าง
Cradit
หนังสือลอบสังหารผู้นำ ผศ.ดร.บรรพต กำเนิดศิริ สำนักพิมพ์ Animate
หนังสือ แผนลอบสังหารบันลือโลก โดยดาณุภา สำนักพิมพ์ดอกหญ้า
Cammy http://writer.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=205702&chapter=202
http://americancivilwar.com/south/jeffdavi.html