แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ มักซีมีเลียง ฟร็องซัว มารี อีซีดอร์ เดอ โรเบสปีแอร์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ มักซีมีเลียง ฟร็องซัว มารี อีซีดอร์ เดอ โรเบสปีแอร์ แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554

มักซีมีเลียง ฟร็องซัว มารี อีซีดอร์ เดอ โรเบสปีแอร์

มักซีมีเลียง ฟร็องซัว มารี อีซีดอร์ เดอ โรแบร์ปีแอร์
มักซีมีเลียง ฟร็องซัว มารี อีซีดอร์ เดอ โรเบสปีแอร์ ( Maximilien François Marie Isidore de Robespierre ) 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1758 - 28 กรกฎาคม ค.ศ.1794

เป็นผู้นำขบวนการปฏิวัติฝรั่งเศษในการโค่นล้มระบอบกษัตริย์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ในฝรั่งเศส แต่สุดท้ายเค้าได้ครองอำนาจและนำพาฝรั่งเศสเข้าสู่ยุคแห่งความน่าสะพรึงกลัว ( Reign Of Terror ) ค.ศ. 1793 - ค.ศ. 1794 

มักซีมีเลียง โรเบสปีแอร์ เกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1758 ที่เมืองอารัส แคว้นนอร์-ปา-เดอ-กาแล ประเทศฝรั่งเศส เค้าได้เป็นนิติกรประจำเมืองบ้านเกิดเพราะความสามารถและความรอบรู้

โรเบสปิแอร์เป็นนักศึกษากฎหมายหนุ่มอนาคตไกล โรเบสปิแอร์ได้มีโอกาสพบกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 โดยขณะนั้น โรเบสปิแอร์เป็นผู้นำถวายงานเลี้ยงต้อนรับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระนางมารี อองตัวเนต ที่เสด็จมาสู่นครปารีสและได้มาที่วิทยาลัยที่เขาศึกษาอยู่ โรเบสปิแอร์ได้กราบทูลถวายการต้อนรับเป็นภาษาลาติน ต่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แต่ในขณะนั้นไม่ได้รับความสนใจจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เท่าไหร่นักในขณะที่เขากล่าวคำสรรเสริญเพื่อต้อนรับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 โรเบสปิแอร์จึงได้พบกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ตั้งแต่เขายังเป็นวัยรุ่น

ภายหลังจากความอดอยากของประชาชนในประเทศฝรั่งเศส มีฎีกาฉบับนึงที่โจมตีความฟุ่มเฟือยของราชสำนักในเวลานั้นขณะที่ประชาชนต้องเผชิญกับยุคข้าวยาก หมากแพง และการขาดขนมปังซึ่งเป็นอาหารหลักของชาวฝรั่งเศส โดยข้อความส่วนนึงของฎีกาฉบับนี้มีข้อความบางส่วนว่า "รู้หรือไม่ว่าทำไมจึงมีประชาชนอดอยากมากมายถึงเพียงนี้ ก็เพราะความฟุ่มเฟือยของท่านในเวลาเพียง 1 วัน ก็สามารถเลี้ยงดูประชาชนได้ถึง 1,000 พันคน" และคนที่อยู่เบื้องหลังการเขียนฎีกาฉบับนี้ก็คือ โรเบสปิแอร์นั่นเอง

4 พฤษภาคม ค.ศ. 1789 โรเบสปิแอร์ในฐานะทนายความและนักการเมืองหนุ่มผู้มีความสามารถได้มาถึงแวร์ไซน์ เพื่อร่วมประชุมสภาฐานันดรของฝรั่งเศส

การเปิดประชุมรัฐสภา เมื่อรัฐบาลต้องการแก้ไขปัญหาวิกฤติทางเศรษฐกิจโดยเก็บภาษีอากรที่ดินจาก พลเมืองทุกฐานันดร จึงต้องเรียกประชุมรัฐสภา ที่เรียกว่า “สภาฐานันดรแห่งชาติ” ( Estates General ) ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนของฐานันดรทั้ง 3 ฐานันดร ในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ.1789 ซึ่งการประชุมนี้นั้นเป็นการเปิดประชุมครั้งแรกภายในเวลากว่า 175 ปีที่ผ่านมา

“สภาฐานันดรแห่งชาติ” ( Estates General )

สภาฐานันดรของฝรั่งเศสในสมัยศตวรรษที่ 18 นั้นแบ่งออกเป็น 3 ฐานันดรประกอบไปด้วย
ฐานันดรแรก พระ
ฐานันดรที่สอง ขุนนาง
และฐานันดรสุดท้ายคือประชาชน

ซึ่งสภาฐานันดรของ 2 กลุ่มแรกมีเพียงร้อยละ 3 ของประชากรมั้งประเทศ ส่วนฐานันดรสุดท้ายนั้นคิดเป็นร้อยละ 97 ของประชากรทั้งหมด ซึ่งทำให้การประชุมแต่ละครั้งสร้างความไม่พอใจให้สภาฐานันดรที่ 3 เพราะเป็นฐานันดรที่มีประชากรมากที่สุดแต่ต้องแพ้ให้กับสภา 2 ฐานันดรแรก ทำให้พวกเค้าเห็นว่าไม่ยุติธรรม

โรเบสปิแอร์มายืนต่อหน้าสภาฐานันดรเพื่อต้องการเสียงที่ยุติธรรม เขาเป็นเด็กกำพร้าที่ได้รับทุนการศึกษาและเป็นตัวแทนของสภาฐานันดรที่ 3 ที่มาจากประชาชนที่เลือกเขาเข้ามาทำหน้าที่ จุดเด่นของโรเบสปิแอร์คือเขามีคำพูดที่คารม คมคาย เป็นอย่างมาก มีบุคลิกที่สงบเสงี่ยม เรียบร้อย ทั้ง ทรงผม และวาจา
การประชุมสภาฐานันดรในครั้งนี้โรเบสปิแอร์และพรรคพวกของเค้าเรียกร้องให้ พระ และขุนนาง ต้องจ่ายภาษี ซึ่งพระเจ้าหลุยส์ทรงไม่เห็นด้วยและทรงเห็นว่ากำลังได้รับการคุกคามรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจากลัทธิหัวรุนแรงของฐานันดรที่ 3

การประชุมสภาฐานันดรที่โรเบสปิแอร์เสนอว่าพระและขุนนางต้องจ่ายภาษี

20 มิถุนายน 1789 สภาฐานันดรที่ 3 พยามจะเข้าร่วมประชุมแต่พวกเค้าพบว่าพวกเค้ากำลังจะถูกปิดปากเพราะประตูของสภาถูกล็อคทำให้สภาฐานันดรที่ 3 ต้องย้ายไปประชุมกันที่สนามแฮนด์บอลที่อยู่ข้างๆ พวกเค้าร่วมประชุมกันและปฎิญาณว่าจะไม่หยุดการประชุมจนกว่าจะได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และประกาศตัวเองว่าเป็นคณะสมัชชาแห่งชาติชุดใหม่ที่มาจากเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างแท้จริง

การประชุมที่สนามแฮนด์บอลและประกาศตั้งสมัชชาแห่งชาติ
27 มิถุนายน 1789 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ได้เสนอให้สมาชิกฐานันดรอื่นๆเข้าร่วมประชุมกับสมาชิกสภาฐานันดรที่ 3 ซึ่งในขณะนั้นเริ่มมีข่าวลือว่าพระเจ้าหลุยส์ได้ปลดรัฐมนตรีคลังช้าค เนกเกอร และได้สั่งกองทหารให้เตรียมกำลังไว้ 30,000 นายที่แวร์ซายน์และกรุงปารีส

กรกฎาคม 1789 พระเจ้าหลุยส์ได้สั่งทหาร 3 หมื่นนายที่อยู่ในกรุงปารีสให้สังหารสมาชิกสภาฐานันดรที่ 3 และเริ่มเกิดการจลาจลขึ้นทั่วกรุงปารีสทำให้ประชาชนเริ่มจัดตั้งกองกำลังป้องกันตนเองโดยเรียกว่ากองกำลัง คอมมูน ปารีส ( Paris Commune )

คอมมูน ปารีส ( Paris Commune )
การปฎิวัติได้เริ่มกระจายไปทั่วกรุงปารีสหลังจากนั้นได้มีการจัดตั้งกองกำลังแห่งชาติขึ้น ( National Guards ) และมี มาร์กีส เดอ ลา ฟาแยตต์ ( Marquis De Lafayette ) เป็นผู้บังคับการ

มาร์กีส เดอ ลา ฟาแยตต์ ( Marquis De Lafayette )
ผู้ก่อจลาจลในกรุงปารีสสามารถขโมยปืนไฟของรัฐบาลไปได้ 28,000 กระบอกแต่สิ่งเดียวที่ไม่มีคือดินปืนและพวกเค้ารู้ว่าจะสามารหามันได้จากที่ไหนซึ่งกลางกรุงปารีสมีป้อมปราการซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์การปกครองที่กดขี่ประชาชนของชนชั้นศักดินาและระบอบขุนนางนั่นก็คือเรือนจำบาสเตีย ( Bastille )

เรือนจำแห่งนี้เป็นสถานที่เก็บดินปืนของเมืองและเป็นตำนานในการเป็นสถานที่ที่ใช้ทรมานและประหารผู้ที่ไม่ยอมรับสารภาพ บาสเตียเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของกษัตริย์ฝรั่งเศสที่มช้อำนาจเกินขอบเขตของตนเองซึ่งสร้างความกลัวให้กับชาวฝรั่งเศสในยุคนั้นมาก

14 กรกฎาคม 1789 ประชาชนชาวฝรั่งเศสเริ่มออกมาแสดงตนพร้อมธงผืนเล็กๆที่มี 3 สี จากการจลาจลของฝูงชนที่กำลังฮึกเหิมได้มีเสียงตะโกนขึ้นว่า "ไปที่คุกบาสเตีย" หลังจากนั้นประชาชนผู้โกรธแค้นทั้งชายและหญิงที่ถิออาวุธ ได้บุกตะลุยเข้าไปในคุกบาสเตียและจับผู้คุมเรือนจำลากออกมาตามถนนและทิ่มแทงร่างกายของเค้าและลากเค้าไปเรื่อย และเป็นเหมือนประเพณีปฎิบัติของการปฎิวัติ ผู้ที่ถูกจับได้จะต้องโดนตัดศรีษะเสียบประจาน

ภาพการบุกคุกบาสเตีย
ที่พระราชวังแวร์ซายน์หลังจากพระเจ้าหลุยที่ 16 เสด็จกลับจากการล่าสัตว์และทรงลงบันทึกไว้ว่า การล่าครั้งนี้ไม่ได้อะไรเลย หลังจากนั้นมหาดเล็กคนหนึ่งได้เข้ามาบังคบทูลถวายรายงานเรื่องการจลาจลและการล่มสลายของคุกบาสเตีย พระเจ้าหลุยส์ตรัสถามมหาดเล็กคนนั้นว่า "เรามีกฎบใช่มั้ย ?" มหาดเล็กคนนั้นกราบังคมทูลกลับไปว่า "ไม่ใช่พ่ะยะค่ะ มันคือการปฎิวัติ"

ภายหลังการปฎิวัติ มีการประกาศสิทธิมนุษยชนของชาวฝรั่งเศสในวันที่ 4 สิงหาคม 1789 ซึ่งรับรองโดยสภาแห่งชาติ




ยุคแห่งความน่าสะพรึงกลัว ( Reign Of Terror )
เป็นอดีตประธานคณะกรรมการความมั่นคงปลอดภัยแห่งรัฐ ที่ตั้งขึ้นเพื่อสอดส่องดูแลความมั่นคงปลอดภัยในสาธารณรัฐฝรั่งเศสในช่วงศตวรรษที่ 18 หลังจากการโค่นล้มพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ของฝรั่งเศสซึ่งประธานของคณะนี้มีอำนาจจับกุมและสั่งประหารชีวิตผู้คนได้

ต่อมาก็ได้เข้าเป็นผู้นำของกลุ่มฌากอแบ็งที่กล่าวหาพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส และพระนางมารี อองตัวเนตว่า ได้ทรงกระทำการในสิ่งที่เป็นการขายชาติ ทั้งยังเรียกร้องให้ประหารชีวิตทั้งสองพระองค์อีกด้วย

ภาพการประหารชีวิตพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส 21 มกราคม 1973
ภาพการประหารชีวิตพระนางมารี อองตัวเนต 16 ตุลาคม 1793


ดังนั้น ต่อมาในปี ค.ศ. 1793 โรเบสปีแอร์ก็ฉวยโอกาสตอนตนกำลังมีชื่อเสียงโด่งดัง และช่วงที่ฝรั่งเศสกำลังถูกคุกคาม เข้ารับตำแหน่งประธานคณะกรรมการความมั่นคงปลอดภัยแห่งรัฐ เขาจึงได้กลายเป็นจอมเผด็จการอย่างแท้จริง ในเวลาปีเดียว เขาจับกุมและประหารผู้คนนับพันๆ ตั้งแต่ความผิดเล็กๆ น้อยๆ จนถึงความผิดอุกฉกรรจ์ หรือแม้แต่การใส่ร้ายใส่ความโดยโรเบสปีแอร์ ต้องถูกประหารโดยเครื่องประหารกิโยติน เขาคิดว่าสิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงาม แต่คนอื่นๆ เรียกช่วงเวลาที่เค้าอยู่ในตำแหน่งว่า ยุคแห่งความหวาดกลัว

เครื่องประหารกิโยติน
ดังนั้นในปี ค.ศ. 1794 จึงมีผู้คนจำนวนมหาศาลรวมตัวกันโค่นอำนาจและจับกุมโรเบสปีแอร์ เขาพยายามฆ่าตัวตาย แต่ไม่สำเร็จ ต้องตายโดยการถูกประหารด้วยเครื่องกิโยตินท่ามกลางผู้คนมากมายที่รุมล้อมใน วันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1794