วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ประวัติราชวงศ์ชิง ราชวงศ์สุดท้ายของแผ่นดินจีน

หนังสือราชโองการของฮ่องเต้คังซี
นับจากปี ค.ศ. 1644 หลังอู๋ซันกุ้ยเปิดด่านซันไห่กวนให้กองทัพชิงบุกเข้ายึดครองแผ่นดินจีน จนฮ่องเต้หมิงซือจง ต้องปลงพระชนม์ตนเอง ยังให้ราชวงศ์หมิงอันเป็นราชวงศ์สุดท้ายของชนชาวฮั่นต้องอวสานลง ในปีเดียวกันตัวเอ่อกุ่น แม่ทัพใหญ่ของแมนจูก็ได้ทูลเชิญซุ่นจื้อ ให้เสด็จมาประทับยังบัลลังก์ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ชิงในกรุงปักกิ่ง
 
ทว่าในยามนั้น ยังคงมีกองกำลังทหารของต้าหมิง และกองทัพประชาชนที่ต่อต้านแมนจูอยู่ทั่วไป ทำให้ราชสำนักชิง ต้องร่วมมือกับอดีตขุนนางราชวงศ์หมิงที่แปรพักตร์อย่าง อู๋ซันกุ้ย เกิ่งจ้งหมิง (耿仲明) ซั่งเขอสี่ (尚可喜) ขงโหย่วเต๋อ (孔有德) ระดมกำลังปราบกองกำลังทางใต้อย่าง ฝูอ๋อง หลู่อ๋อง ถังอ๋อง กุ้ยอ๋องและกองกำลังต่างๆที่เหลืออยู่

ปีค.ศ. 1645 ในขณะที่กองกำลังแมนจูบุกตีเหมือนหยางโจว สื่อเขอฝ่า (史可法) แม่ทัพรักษาเมืองได้นำทหารจีนเพียงน้อยนิดต้านยันไว้ 7 วัน 7 คืน จนกระทั่งเมืองถูกตีแตก สื่อเขอฝ่าถูกประหาร และตัวเอ่อกุ่น ก็ได้ออกคำสั่งให้ฆ่าล้างเมืองหยางโจว โดยใน “บันทึกสิบวันในหยางโจว” ของหวังซิ่วฉู่ ผู้โชคดีรอดชีวิต ได้ระบุว่าว่าการเข่นฆ่าล้างเมืองดำเนินไปโดยไม่หยุดตลอด10 วัน

สื่อเขอฝ่า แม่ทัพผู้จงรักภักดีแห่งต้าหมิง ที่แม้แต่ราชวงศ์ชิงก็ยกย่อง
ในปีเดียวกัน ทหารแมนจูเข้ายึดเมืองนานกิง บุกต่อไปยัง ซูโจว หังโจว ซงเจียง ฉางโจว จนในที่สุดก็สามารถปราบกลุ่มผู้ต่อต้านได้หมดสิ้น เหลือแต่เพียงกลุ่มของ เจิ้งเฉิงกง (郑成功) ที่นำพาผู้ต่อต้านแมนจูไปปักหลักที่เซี่ยเหมิน จินเหมิน จากนั้นได้ขับไล่ชาวเนเธอร์แลนด์ออกจากไต้หวัน ยึดเกาะไต้หวันมาใช้เป็นฐานที่มั่น คอยทำศึกเพื่อจะกอบกู้แผ่นดินหมิงกับราชวงศ์ชิงเป็นเวลายาวนานต่อมาอีกสิบกว่าปี

กระทั่งในปี ค.ศ. 1662 หลังจากบิดาและน้องชายหลายคนของ เจิ้งเฉิงกง ถูกฝ่ายแมนจูประหารชีวิต พันธมิตรและญาติพี่น้องจึงเริ่มไม่เห็นด้วยกับการก่อการ เนื่องจากเห็นว่าไม่มีหนทางประสบความสำเร็จ สุดท้ายเมื่ออับจนไม่มีทางออก ในที่สุด เจิ้งเฉิงกง ก็ตัดสินใจกระทำอัตวินิบาตกรรม จากนั้นเจิ้งจิง (郑經) บุตรชายของ เจิ้งเฉิงกง ก็รับหน้าที่ในการนำทัพต่อต้านไป และเมื่อเจิ้งจิงเสียชีวิตในปี ค.ศ.1681 ตำแหน่งดังกล่าวก็ตกมาอยู่กับ เจิ้งเค่อส่วง (郑克塽) จนกระทั่งเจิ้งเค่อส่วงได้แพ้ให้กับทหารชิงในปี ค.ศ. 1683 กองทัพนี้จึงได้ยอมสวามิภักดิ์ และทำให้ไต้หวันกลับคืนสู่การปกครองของจีนอีกครั้ง

เจิ้งเฉิงกง ผู้นำกองกำลังต่อต้านราชวงศ์ชิงนานนับสิบปี
นโยบายไม้อ่อน –ไม้แข็ง การเข้าสู่แผ่นดินจีนของแมนจู นับเป็นการซ้ำรอยทางประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่งหลังจากสมัยราชวงศ์หยวน ที่ชาวฮั่นถูกปกครองจากชนเผ่าอื่นที่เข้ามายึดครอง จากบทเรียนของราชวงศ์หยวนที่ใช้แต่กองกำลังและความแข็งกร้าว ทำให้ราชวงศ์สามารถสถาปนาอยู่ได้ไม่ถึงร้อยปี กลุ่มผู้ปกครองแมนจูจึงเลือกดำเนินการควบคู่ทั้งพระเดชและพระคุณ
 
เจิ้งเฉิงกง ผู้นำกองกำลังต่อต้านราชวงศ์ชิงนานนับสิบปี โดยก่อนที่จะสามารถยึดครองแผ่นดินจีนได้ กองทัพของชิงได้ให้ความสำคัญกับขุนนางหรือแม่ทัพชาวฮั่น และให้การดูแลขุนนางที่เข้ามาสวามิภักดิ์อย่างดี อีกทั้งยกย่องสรรเสริญขุนนางหมิงที่มีความจงรักภักดียอมเสียสละชีวิต แม้ว่าการเสียสละนั้นจะเป็นการพลีชีพเพื่อราชวงศ์หมิงก็ตาม อีกทั้งภายหลังเมื่อบุกยึดราชธานีปักกิ่งได้ ทางแมนจูได้จัดพระราชพิธีศพและสร้างสุสานให้กับ หมิงซือจง ฮ่องเต้องค์สุดท้าย ของราชวงศ์หมิงกับพระมเหสี และยังมีการจัดให้มีการสอบเพื่อเฟ้นหาบัณฑิตเข้ารับราชการ และลดภาษีตามท้องที่ต่างๆให้ด้วย
 
ทว่าเพื่อควบคุมให้ชาวฮั่นยอมสยบอยู่ในอาณัติอำนาจปกครองใหม่ จึงมีการใช้ความเด็ดขาด และเหี้ยมโหดต่อกลุ่มคนที่ขัดขืน อย่างเหตุการณ์ล้างเมืองสิบวันที่หยางโจว คำสั่งห้ามการรวมกลุ่ม โดยเฉพาะคำสั่งที่ให้ชาวฮั่นทั่วประเทศโกนผมครึ่งหัวไว้ผมเปียตามแบบชาวแมน จู ด้วยคำประกาศที่ว่า “มีหัวไม่มีผม (ให้โกนหัวไว้เปีย) มีผมไม่มีหัว” (留头不留发,留发不留头) ที่ทำให้ชาวฮั่นต้องหลั่งเลือดสังเวยชีวิตไปเป็นหลายแสนคน

เซี่ยวจวงฮองไทเฮา ผู้มีบทบาทอยู่เบื้องหลังบัลลังก์ต้าชิง
ยุคต้นราชวงศ์ - ปราบสามเจ้าศักดินา
 
ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ชิง อ้ายซินเจี๋ยว์หลอ ฝูหลิน (爱新觉罗福临) หรือฮ่องเต้ซุ่นจื้อ ซึ่งเป็นพระโอรสคนที่ 9 ของหวงไท่จี๋ หลังจากที่หวงไท่จี๋สวรรคต ภายใต้การผลักดันจาก เซี่ยวจวงเหวินฮองเฮา (孝庄皇后)ทำให้ฝูหลินได้ขึ้นครองราชย์ด้วยพระชนมายุเพียง 6 พรรษา และเซี่ยวจวงก็เลื่อนศักดิ์ขึ้นมาเป็นไทเฮา โดยมี ตัวเอ่อกุ่น ที่มีศักดิ์เป็นพระปิตุลาเป็นผู้สำเร็จราชการ (摄政王) และมีเจิ้งชินหวัง (郑亲王) คอยให้การช่วยเหลือ ตั่วเอ่อกุ่นได้พยายามยึดกุมอำนาจปกครองอันแท้จริงเอาไว้ อีกทั้งยังตั้งตนเองเป็นพระราชบิดา ควบคุมกองทัพกองธงไว้ถึง 3 กองธง ในขณะที่ฮ่องเต้ปกครองอยู่เพียง 2 กองธง
กระทั่งปี ค.ศ.1650 เมื่อตัวเอ่อกุ่นเสียชีวิตลง ซุ่นจื้อที่เริ่มหลุดจากการเป็นหุ่นเชิด ได้ประกาศราชโองการยกเลิกตำแหน่ง บรรดาศักดิ์ และริบทรัพย์ทั้งหมดของ ตัวเอ่อกุ่น เป็นการลงโทษในข้อหาใช้อำนาจบาตรใหญ่ในขณะที่มีชีวิตอยู่ นอกจากนั้นยังลือกันว่ามีการขุดศพของตัวเอ่อกุ่นขึ้นมาทำการตีด้วยไม้และโบย ด้วยแส้อีกด้วย
หลังจากนั้น เพื่อให้อำนาจกลับคืนสู่ฮ่องเต้อย่างแท้จริง ซุ่นจื้อยังได้ทำการปลดองค์ชายและเชื้อพระวงศ์หลายคนที่เคยดูแลหน้าที่ใน กระทรวงต่างๆ อีกทั้งเพื่อลดความขัดแย้งระหว่างชนชาติ จึงทรงมีรับสั่งให้มีการหยุดการเวนคืนที่ดินจากประชาชน ผ่อนปรนกฎหมายคนหลบหนี ผลักดันวัฒนธรรมชาวฮั่น ซึ่งการยกย่องวัฒนธรรมของชาวฮั่นกับความคิดในการปฏิรูปเพื่อให้แมนจูกับชาว ฮั่นสามารถอยู่ร่วมกันของซุ่นจื้อ ได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งกับขุนนางใหญ่จำนวนไม่น้อย
 
ความผิดหวังในทางการเมือง ได้ทำให้ซุ่นจื้อหันมาทุ่มเทความรักให้กับพระสนมต่งเอ้อ โดยเล่าขานกันว่า พระสนมต่งเอ้อเดิมเป็นน้องสะใภ้ของซุ่นจื้อ เป็นภรรยาของป๋อมู่ป๋อกั่วเอ่อ (博穆博果尔) แต่มีความสนิทสนมใกล้ชิดกับซุ่นจื้อมาก หลังป๋อกั่วเอ่อเสียชีวิตในปีซุ่นจื้อที่ 13 ฮ่องเต้ซุ่นจื้อจึงได้แต่งตั้งนางให้เป็นพระสนมของตน หลังจากเป็นสนมของซุ่นจื้อได้หนึ่งปี พระสนมต่งเอ้อก็ได้ให้กำเนิดพระโอรส ซึ่งเดิมจะได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาท ทว่าพระโอรสพระองค์นี้กลับเสียชีวิตไปเมื่ออายุได้เพียง 3 เดือน ทำให้พระสนมต่งเอ้อบตรอมใจจนสิ้นพระชนม์ และได้รับการอวยยศตามหลังจากเซี่ยวจวงฮองไทเฮา ให้เป็นเซี่ยวเสี้ยนฮองเฮา
ฮ่องเต้ซุ่นจื้อครองราชย์ถึงปีที่ 18 (ค.ศ. 1661) ก็สวรรคตไปด้วยพระชนมายุเพียง 24 พรรษา ทว่าการสวรรคตของพระองค์กลับเป็นปริศนาถูกกล่าวขานไว้หลายรูปแบบ โดยบ้างระบุว่าพระองค์เสียพระทัยกับการสูญเสียพระสนมและพระโอรส ทำให้ร่างกายและจิตใจได้รับความกระทบกระเทือน และสิ้นพระชนม์ด้วยโรคฝีดาษ (ไข้ทรพิษ)
ในขณะที่บันทึกของชาวบ้านกลับระบุว่า พระองค์ทรงมีความฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า สุดท้ายเมื่อสูญเสียพระสนมอันเป็นที่รัก จึงได้ออกผนวช ณ เขาอู่ไถ (五台山) ส่วนนักประวัติศาสตร์บางคนก็ได้ระบุว่า พระองค์ถูกระเบิดสวรรคตในขณะที่ทรงนำกำลังจะไปปราบกองกำลังของเจิ้งเฉินงก ที่ไต้หวัน
หลังซุ่นจื้อเสด็จสวรรคต โอรสองค์ที่สามนาม อ้ายซินเจี๋ยว์หลอ เสวียนเยี่ย (玄烨) ที่มีพระชนมายุเพียง 8 พรรษา ก็ได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้คังซีตามพระพินัยกรรมของซุ่นจื้อ ได้สั่งให้สี่ขุนนางใหญ่ช่วยบริหารราชกิจ หนึ่งในนั้นมีขุนนางนามเอ้าไป้ (鳌拜) ที่กุมอำนาจทางการทหาร และมักใช้อำนาจบาตรใหญ่ในการเล่นงานขุนนางอื่นที่ไม่เห็นด้วยกันตน
นอกจากนั้น นับตั้งแต่ทหารต้าชิงเข้าด่านเป็นต้นมา ก็ได้ทำการเวนคืนยึดครองที่ดินของเกษตรกรจำนวนมากเพื่อแบ่งสรรให้กับผู้สูงศักดิ์จาก 8 กองธง หลัง เอ้าไป้ ได้ครองอำนาจ มิเพียงแต่ทำการกวาดต้อนที่ดินมาเป็นของตน ยังใช้อำนาจบีบบังคับแลกเปลี่ยนที่ดินของตนกับที่ดินดีๆ หลายแปลง และประหารชีวิตขุนนางที่ต่อต้านตนเอง
เมื่อฮ่องเต้คังซีมีพระชนมายุครบ 14 พรรษา จึงทรงเริ่มใช้อำนาจปกครองด้วยพระองค์เอง ในขณะนั้นเป็นช่วงที่หนึ่งในผู้ช่วยบริหารราชการนามซูเค่อซาฮา (苏克萨哈) เกิดขัดแย้งกับเอ้าไป้ และถูกเอ้าไป้วางแผนให้ร้าย ถวายฎีกาต่อฮ่องเต้คังซีเพื่อให้ลงอาญาประหารชีวิต ทว่าคังซีไม่ยอม เอ้าไป้บันดาลโทสะจนถึงกับถกเถียง เอะอะโวยวายกับคังซีในท้องพระโรง แต่สุดท้ายเนื่องจากในยามนั้นเอ้าไป้ยังถืออำนาจส่วนใหญ่อยู่ คังซีจึงยอมอดกลั้นและสั่งประหารซูเค่อซาฮา

กระทั่งวันหนึ่ง คังซีมีรับสั่งให้เอ้าไป้เข้าเฝ้าตามลำพัง จากนั้นทรงใช้ให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ฝึกฝนขึ้นมารุมจับตัวเอาไว้ ภายหลังจึงมีรับสั่งให้จองจำในคุกหลวง และให้ขุนนางใหญ่ทำการตรวจสอบความผิด ปรากฏว่า เอ้าไป้ถูกตั้งข้อหาใช้อำนาจข่มเหงรังแกผู้คน ฆ่าคนไร้ความผิด และความผิดอุกฉกรรจ์อีกมากมาย จึงถูกลงโทษให้ถอดบรรดาศักดิ์และประหารชีวิตเสีย

อ้ายซินเจี๋ยว์หลอ ฝูหลิน หรือฮ่องเต้ซุ่นจื้อ
หลังจากกำจัด เอ้าไป้ ขุนนางใหญ่ทั้งหลายก็ไม่มีใครกล้าดูแคลนและแสดงความไม่ยำเกรงต่อฮ่องเต้ เยาว์วัยพระองค์นี้อีกต่อไป เมื่อคังซีได้อำนาจการปกครอง ก็ทรงเริ่มทำการสนับสนุนการผลิตและเพาะปลูก ลงโทษขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง ทำให้ราชวงศ์ที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ค่อยๆเข้มแข็งมั่นคงมากขึ้น
 
แต่ในยามนั้น แม้ว่าผู้ต่อต้านจากทางใต้จะถูกสยบไปแล้ว แต่ก็ยังมีสามเจ้าศักดินาที่ได้รับการพระราชทานให้ปกครองหัวเมืองในสมัยที่ ต้าชิง เพิ่งสถาปนาราชวงศ์ในประเทศจีน เนื่องจากบุคคลเหล่านี้เป็นผู้ที่มีความดีความชอบในการมาเข้ากับต้าชิง และสยบเหล่าทหารต้าหมิงเก่าทีลุกฮือ อันได้แก่ อู๋ซันกุ้ย ที่ปกครองมณฑลหยุนหนันกับ กุ้ยโจว บวกกับดินแดนบางส่วนของหูหนันกับเสฉวน ซั่งเขอสี่ปกครองดินแดนมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) และบางส่วนของกว่างซี (กวางสี) ส่วนเกิ่งจ้งหมิงที่ปกครองอยู่ที่มณฑลฝูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) โดยทั้งสามมีอำนาจคล้ายเจ้าผู้ปกครองแว่นแคว้นคือมีอำนาจบังคับบัญชาทหาร พลเรือน และมีอำนาจเก็บภาษีพร้อมควบคุมการค้าผูกขาดทั้งหมด แม้กระนั้น เจ้าศักดินาทั้งสามก็ยังเรียกร้องเงินจำนวนมากจากราชสำนัก โดยอ้างว่าเป็นค่าใช้จ่ายทางทหารมาโดยตลอด โดยเฉพาะอู๋ซันกุ้ย ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผิงซีอ๋อง (平西王) ได้เรียกเงินจำนวนที่มากถึง 9 ล้านตำลึง
คังซีทรงทราบดีว่า เจ้าศักดินาทั้งสามเป็นอุปสรรคต่อการปกครองประเทศอย่างเป็นเอกภาพ จึงมีดำริที่จะต้องลดอำนาจหรือยกเลิกอำนาจของเจ้าศักดินาเหล่านี้เสีย ประจวบกับยามนั้นเป็นช่วงที่ซั่งเขอสี่อายุมากขึ้น ต้องการที่จะกลับไปบ้านเดิมที่เหลียวตง จึงได้ทำฎีกาเพื่อของให้บุตรชายซั่งจือซิ่นสืบทอดตำแหน่งอ๋องในกวางตุ้งต่อไป คังซีได้อนุญาตให้ซั่งเขอสี่กลับบ้านเดิมได้ ทว่ากลับไม่ยอมให้บุตรชายสืบทอดบรรดาศักดิ์นี้ต่อไป เช่นนี้ทำให้อู๋ซันกุ้ย และเกิ่งจิงจง (耿精忠) หลานของเกิ่งจ้งหมิงเกิดร้อนใจ ต้องการจะทดลองพระทัยของคังซี ด้วยการแสร้งขอร้องให้คังซีทรงปลดบรรดาศักดิ์ และขอกลับไปทางเหนือ
ครั้นฏีกาดังกล่าวถูกส่งมาถึงราชสำนัก คังซีทรงเรียกประชุมหารือกับเหล่าขุนนาง ซึ่งขุนนางส่วนใหญ่เห็นว่าคำขอร้องดังกล่าวเป็นเพียงการเสแสร้ง และเมื่อใดที่คังซีทรงอนุญาต อู๋ซันกุ้ยจะก่อกบฏขึ้นทันที ทว่าคังซีกลับตัดสินพระทัยอย่างเด็ดเดี่ยว โดยตรัสว่า “อู๋ซันกุ้ยมีจิตใจทะเยอทะยาน หากปลดเขาย่อมเกิดการกบฏ หากไม่ปลดช้าเร็วก็ต้องกบฏ มิสู้ลงมือก่อนย่อมเป็นฝ่ายได้เปรียบ” จากนั้นทรงตอบรับการยกเลิกบรรดาศักดิ์ และอำนาจการปกครองดินแดนของอู๋ซันกุ้ย ทำให้อู๋ซันกุ้ยที่เห็นว่าตนเป็นขุนนางที่ร่วมสร้างแผ่นดินต้าชิงมา กลับต้องถูกปลดโดยฮ่องเต้อายุเยาว์ผู้นี้ และในที่สุดก็ก่อการกบฏขึ้นจริง
ค.ศ.1673 อู๋ซันกุ้ยได้เคลื่อนทัพจากมณฑลหยุนหนัน เปลี่ยนมาใส่ชุดศึกของราชวงศ์หมิง อ้างว่าต้องการที่จะแก้แค้นแทนราชวงศ์หมิงที่ล่มสลายไป ทว่าประชาชนยังจำได้ดีว่าอู๋ซันกุ้ยเป็นคนเปิดด่านซันไห่กวน เชิญทหารชิงเข้ามา การกล่าวอ้างเช่นนี้จึงไม่มีใครยอมเชื่อ
การเคลื่อนทัพเป็นไปอย่างราบรื่น ทัพกบฏเอาชนะไปตลอด บุกตีไปจนถึงหูหนัน จากนั้นส่งคนไปติดต่อให้ซั่งจือซิ่นกับเกิ่งจิงจงเข้าร่วมกองทัพกบฏกับ อู๋ซันกุ้ย ซึ่งในประวัติศาสตร์เรียกว่า “กบฏสามเจ้าศักดินา”
การก่อกบฏของทั้งสาม สามารถยึดครองพื้นที่ทางใต้ทั้งหมดของจีนเอาไว้ได้ ทว่าคังซีเองก็ยังไม่ถอดใจ ยังทำการคัดเลือกแม่ทัพนายกอง ระดมกำลังทหารเข้าต่อกร และยกเลิกการปลดบรรดาศักดิ์ของซั่งจือซิ่น และเกิ้งจิงจงไว้ก่อน จนกระทั่งผลการศึกผลัดเปลี่ยนเป็นฝ่ายอู๋ซันกุ้ยเริ่มเพลี่ยงพล้ำ ในที่สุดทั้งสองก็ยอมแพ้ต่อราชสำนักชิง

แม้ช่วงแรกอู๋ซันกุ้ยจะทำศึกประสบชัยมาโดยตลอด ทว่าทหารชิงกลับมีมากและเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่กำลังของอู๋ซันกุ้ยค่อยๆอ่อนโทรมลง อู๋ซันกุ้ยเริ่มรู้ว่าไม่สามารถต้านทานได้อีก และในที่สุดก็ป่วยหนักเสียชีวิตไป ปี ค.ศ. 1681 กองทัพต้าชิงได้แบ่งทัพออกเป็น 3 สายบุกเข้าตีเมืองคุนหมิงในหยุนหนัน อู๋ซื่อฝาน (吴世璠) หลานของอู๋ซันกุ้ยต้องฆ่าตัวตาย กองทัพต้าชิงจึงสามารถพิชิตผนวกดินแดนทางภาคใต้กลับคืนมาได้

พระราชวังเคลื่อนที่ของฮ่องเต้เฉียนหลง
ยุครุ่งโรจน์แห่งรัชกาลคัง-เฉียน (康乾盛世)
 
ยุครุ่งเรืองแห่งรัชกาลคัง-เฉียน จัดเป็นยุครุ่งเรืองสุดท้ายในประวัติศาสตร์ราชวงศ์จีน โดยกล่าวถึงรัชกาลของฮ่องเต้คังซี ฮ่องเต้ยงเจิ้ง และฮ่องเต้เฉียนหลง รวมเป็นระยะเวลากว่า 130 ปี ในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจากการปกครองเป็นไปในแนวทางเดียวกัน สามารถลดความขัดแย้งระหว่างชนชาติและชนชั้น ดำเนินนโยบายหนึ่งประเทศหลายเผ่าพันธุ์ทั้งในทางเศรษฐกิจและสังคม ทำให้สังคมมีความสงบสุขเป็นระยะเวลาที่ยาวนานนับร้อยปี
โดยหลังจากที่คังซีได้รับอำนาจเต็มในการปกครอง นอกจากจะมีการหยุดการเวนคืนที่ดิน ผ่อนปรนภาษีแล้ว เพื่อป้องกันมิให้ขุนนางทั้งหลายปิดบังหลอกลวง อ้าวซินเจี๋ยว์หลอเสวียนเยี่ย หรือคังซีจึงมักเสด็จออกประพาส เพื่อทำความเข้าใจกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และรับทราบถึงผลจากนโยบายการปกครองในรูปแบบต่างๆ โดยที่ทราบกับทั่วไปก็คือประพาสทางใต้ 6 ครั้ง ตะวันออก 3 ครั้ง ตะวันตก 1 ครั้ง ประพาสในเขตเมืองหลวงและมองโกลหลายร้อยครั้ง นอกจากนั้นยังมีการเดินทางประพาสเพื่อสำรวจเส้นทางน้ำของแม่น้ำฮวงโห และตรวจงานก่อสร้างอีกด้วย
คังซียังให้ความสำคัญกับชนชั้นปัญญาชนของชาวฮั่นเป็นอย่างยิ่ง ให้ความยกย่องความรู้ของหยูเจีย (ลัทธิขงจื้อ) โดยเฉพาะ หลี่เสียว์ (理学) ของปราชญ์จูซี (朱熹) พระองค์ยังเคยเสด็จไปยังชีว์ฟู่ เพื่อไปสักการะยังอารามขงจื้อที่นั่นด้วย
อีกหนึ่งผลงานที่ถือกำเนิดขึ้นในยุคนี้ก็คือ “พจนานุกรมคังซี” (康熙字典) มีราชบัณฑิตจากตำหนักเหวินหัวอย่างจางอี้ว์ซู กับราชบัณฑิตจากตำหนักเหวินยวน นามเฉินถิงจิ้ง เป็นแกนนำในการจัดทำ โดยได้ทำการตรวจทาน ตรวจสอบอักษรจีนที่ใช้ในราชวงศ์หมิง และเป็นตำราที่ถูกจัดพิมพ์ยาวนานตั้งแต่รัชกาลคังซีปีที่ 55 หรือ ค.ศ. 1716 มาตราบจนฮ่องเต้คังซีได้มีรับสั่งให้จัดเรียบเรียงพจนานุกรมดังกล่าวใน เดือน 3 ปี ค.ศ.1710 ใช้เวลาในการจัดทำถึง 6 ปี มีทั้งสิ้น 47,035 อักษร แบ่งเป็น 12 ชุด แต่ละชุดมี 3 พับ โดยมีคำอธิบายถึงอักษรพ้องเสียง แต่ต่างความหมาย หรืออักษรพ้องรูปที่ต่างความหมาย ซึ่งภายหลังได้ถูกนำมาใช้เป็นมาตรฐานที่ใช้ในการสอบรับราชการในราชวงศ์ชิง และเป็นที่แพร่หลายแม้ในเวลาต่อมา
 
(ซ้าย) เหรียญเงินที่ใช้สมัยฮ่องเต้ซุ่นจื้อ (ขวา) เหรียญเงินที่ใช้สมัยฮ่องเต้ยงเจิ้ง
พจนานุกรมคังซี
รัชทายาทอิ้นเหริง (胤礽) ออกจากตำแหน่งเป็นครั้งแรก เนื่องจากทรงทราบว่ามีพฤติกรรมที่นิยมในเพศชายด้วยกัน และชอบทำร้ายขุนนาง โดยในขั้นตอนการคัดเลือกรัชทายาทคนใหม่ อิ้นเจิน (胤禛) หรือฮ่องเต้ยงเจิ้ง (雍正皇帝) ในเวลาต่อมาได้ให้การสนับสนุนให้คืนตำแหน่งให้กับอิ้นเหรินใหม่ กระทั่งในปีต่อมา จึงมีการคืนตำแหน่งให้กับรัชทายาทคนเดิม ทว่าเมื่อมาถึงปี ค.ศ. 1712 คังซีก็ทรงปลดอิ้นเหริงออกจากตำแหน่งรัชทายาทอีกครั้ง และไม่มีการแต่งตั้งหรือคัดสรรรัชทายาทต่อ ทำให้ในหมู่พระโอรสมีการแก่งแย่งช่วงชิงทั้งในที่ลับและที่แจ้งอย่างดุเดือด
 
ในขณะนั้นอิ้นเจิน ภายนอกแสดงให้เห็นว่าตนเองไม่สนใจแก่งแย่งชิงดี ทุ่มเทให้กับพุทธศาสนา โดยขนานนามตนเองว่าเป็น “คนว่างอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน” พยายามปรองดองกับพระโอรสองค์อื่นๆ ทว่าเบื้องหลังก็ได้คบหากับเกิงเหยา และลู่เคอตัวบ่มเพาะเป็นขุมกำลังอันเข้มแข็งของตนขึ้น นอกจากนั้น จากการที่มีผลงานในการแก้ปัญหาอุทกภัยของแม่น้ำฮวงโหที่ได้ผลมากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงปลายราชวงศ์หมิงเป็นตนมา ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากคังซีเป็นอย่างยิ่ง

ทว่าในช่วงปลายรัชกาล ฮ่องเต้คังซีให้ความชื่นชมกับองค์ชาย 14 อิ้นที (胤禵) อีกทั้งแต่งตั้งเป็นแม่ทัพใหญ่ให้เดินทางไปยังภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ทำให้ในขณะนั้นมีการคาดเดาว่า อิ้นที อาจจะเป็นทายาทที่คังซีคิดจะให้สืบทอดบัลลังก์

กระทั่งรัชกาลคังซีปีที่ 61 หรือค.ศ.1722 เมื่อคังซีเสด็จสวรรคต ประจวบกับเป็นช่วงเวลาที่อิ้นเจิน ได้รับพระบัญชาให้ไปทำพิธีสักการะฟ้า ทำให้กลับมาไม่ทัน ช่วงเวลาที่หลงเคอตัวกำลังประกาศผู้สืบทอดตำแหน่ง ซึ่งในระบุให้อิ้นเจินขึ้นเป็นอ่องเต้ต้าชิงพระองค์ต่อไป

อิ้นเจิ้งขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ยงเจิ้งด้วยพระชนมายุ 45 พรรษา กระนั้นขั้นตอนการขึ้นครองราชย์ของพระองค์ยังคงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้ โดยมีการเล่าขานเอาไว้หลากหลาย โดยบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์ชิงได้บันทึกว่า ในปี ค.ศ. 1722 ฮ่องเต้คังซีทรงพระประชวรจนเสด็จสวรรคต ณ กรุงปักกิ่ง โดยก่อนนั้นได้มีรับสั่งเชิญพระโอรส 7 พระองค์เข้าเฝ้า จากนั้นก็มีรับสั่งให้ผู้บัญชาการทหารบกลู่เคอตัวเป็นผู้ถ่ายทอดราชโองการ ให้กับพระโอรสองค์ที่ 4 นามอิ้นเจิน อันเป็นผู้ที่มีความประพฤติดีงาม เหมาะสมที่จะเป็นผู้สืบสานบัลลังก์สืบไป”

ทว่าในบันทึกของชาวบ้าน กลับมีคำเล่าลือว่าเดิมพระราชโองการฉบับดังกล่าวเป็นการถ่ายทอดตำแหน่งให้ พระโอรสองค์ที่ 14 แต่แล้วมีการแก้อักษรเลขสิบ (十) ให้เป็นคำว่า “ให้กับ” (于) จึงออกมาเป็นคำว่าถ่ายถอดให้กับพระโอรสองค์ที่ 4 แทน อย่างไรก็ตาม ในภายหลังมีการระบุว่า พระพินัยกรรมของคังซี จะต้องมีฉบับที่เป็นภาษาแมนจูด้วย ฉะนั้นต่อให้สามารถแก้ไขในภาษาฮั่นได้ ก็ไม่สามารถแก้ไขในฉบับภาษาแมนจูด้วยวิธีการเดียวกันนี้ได้ ผนวกกับในสมัยนั้นยังไม่มีอักษรย่อ ดังนั้นคำว่า “ให้กับ” ที่ถูกต้องจึงควรเป็นตัวอักษร (於) ไม่ใช่ตัวอักษร (于) นอกจากนั้นยังมีคำเล่าขานอื่นอีกที่ว่า ความเป็นจริงการที่ฮ่องเต้คังซียกให้ยงเจิ้งเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์นั้น แท้จริงแล้วเป็นเพราะมีเจตนาที่จะให้พระราชบัลลังก์ในอนาคต ไปสู่มือของพระโอรสของยงเจิ้ง นามว่าหงลี่ (้弘历) หรือฮ่องเต้เฉียนหลง (乾隆大帝)ในกาลต่อมานั่นเอง
ในช่วงการครองราชย์ของยงเจิ้ง แม้จะทรงโหดเหี้ยมกับบรรดาพี่น้องของตน แต่ก็เป็นฮ่องเต้ที่มีความขยันหมั่นเพียรในราชกิจเป็นอย่างยิ่ง จะทรงตื่นบรรทมแต่ก่อนเช้า และทรงงานตรวจฎีกาจนดึกดื่น ทรงรวบอำนาจ จัดสรรระบบภาษี การเงินการคลัง และขจัดการฉ้อราษฎร์บังหลวงจนถือว่าเป็นช่วงสืบทอดยุคความรุ่งเรืองรัชกาล คัง-เฉียนที่สำคัญ จนสามารถยังผลให้ประเทศจีนรุ่งเรืองถึงขีดสุดในยุคของฮ่องเต้เฉียนหลง

หลังยงเจิ้งสวรรคตจากการทำงานที่ตรากตรำมากจนเกินไป อ้ายซินเจี๋ยว์หลอหงลี่ ก็ได้ขึ้นครองราชย์ เป็นเฉียนหลงฮ่องเต้ ซึ่งการครองราชย์ของเฉียนหลง ที่สามารถดำเนินไปอย่างราบรื่น เนื่องจากยงเจิ้งเองเกรงว่าจะมีการแย่งชิงบัลลังก์ระหว่างพระโอรสเหมือนในสมัยของตน จึงได้ใช้วิธีการเขียนรายชื่อผู้ที่จะขึ้นครองราชย์ต่อจากพระองค์แล้วประทับ ตราลัญจกร จากนั้นแบ่งเป็น 2 ชุด ชุดหนึ่งเก็บใส่หีบปิดผนึกแล้ววางไว้ที่ป้ายโลหะหน้าท้องพระโรง อีกชุดหนึ่งเก็บไว้กับพระองค์เอง โดยมีรับสั่งให้นำออกมาเปิดอ่านพร้อมกันหลังจากที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์

ในรัชกาลของเฉียนหลงถือเป็นยุคทองที่รุ่งเรืองที่สุดของราชวงศ์ชิง จากความพยายามปฏิรูปนโยบายภาษี การใช้จ่าย นโยบายการเงินการคลังของยงเจิ้ง ได้ทำให้มีเงินท้องพระคลังเหลือมาถึงยุคของเฉียนหลงเป็นจำนวนมาก เมื่อผนวกกับการที่ประชาชนเมื่อไม่มีภัยสงครามมาเป็นเวลานาน จึงทุ่มเทไปกับการสร้างผลผลิต จนทำให้ยุคสมัยนี้มีความมั่งคั่ง และมีความเจริญก้าวหน้าทางศิลปะวิทยาการต่างๆเป็นอันมาก
พระองค์ได้มีราชโองการให้รื้อฟื้นคดีคืนความบริสุทธิ์ให้กับขุนนางต้าหมิงที่ชื่อ หยวนฉงฮ่วน ขึ้นมาใหม่ จากที่แต่เดิมนั้นฮ่องเต้เฉียนหลงเมื่อขึ้นครองราชย์ ก็พยายามเจริญรอยตามพระอัยกาคังซี ด้วยการเสด็จประพาสทางใต้ถึง 6 ครั้ง และทำการปรับปรุงระบบชลประทานและการป้องกันอุทกภัยมากมาย ซึ่งการประพาสดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในนโยบายที่จะรักษาความมั่นคงของประเทศ และเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างชนชาติของฮั่นกับแมนจูอีกด้วย
ฉงเจินได้ลงโทษประหารหยวนฉงฮ่วนด้วยการแล่เนื้อทั้งเป็นในข้อหาสมคบคิดกับแมนจูก่อการกบฏ โดยในบันทึกฮ่องเต้ชิงเกาจง หรือฮ่องเต้เฉียนหลงได้ระบุไว้ว่า “แม้นการที่หยวนฉงฮ่วนเป็นผู้บัญชาการศึกให้กับต้าหมิง ยังผลให้ทัพต้าชิงประสบความลำบาก ทว่าถือเป็นบุคคลอันภักดีต่อหน้าที่ เพียงพบเจอเจ้าชีวิตที่ไร้สติปัญญา มิเพียงไม่ตอบแทนในความจริงใจอย่างเต็มสามารถ กลับประหารจนเสียชีวิต นับเป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก”

ฮ่องเต้ยงเจิ้ง
ในปีค.ศ.1772 หรือรัชกาลเฉียนหลงปีที่ 49
อีกผลงานหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับมาจนถึงปัจจุบันก็คือ “ซื่อคู่เฉวียนซู” (四库全书) หรือจตุคลังคัมภีร์ ซึ่งถือว่าเป็นหนังสือชุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก (รองลงมาคือสารานุกรมหย่งเล่อในราชวงศ์หมิง) โดยใช้เวลาในการชำระคัมภีร์และตำราต่างๆนานถึง 9 ปี รวบรวมตำราไว้ทั้งสิ้น 3,503 ประเภท เรียบเรียงเป็น 36,304 เล่ม 79,337 บรรพ มีจำนวนเกือบ 2,300,000 หน้า มีอักษรราว 800 ล้านตัว โดยเป็นการรวบรวมคัมภีร์สำคัญตั้งแต่ยุคโบราณ ซึ่งบางเล่มเคยถูกระบุเป็นคัมภีร์ต้องห้ามในสมัยราชวงศ์ฉิน ครอบคลุมศาสตร์อันหลากหลายแทบทุกประเภทในประเทศจีน
นอกจากความสามารถอันหลากหลายจนเป็นที่ประจักษ์แล้ว ฮ่องเต้เฉียนหลงยังเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่ามีความรักประชาชน และมีความวิริยะอุตสาหะในการปฏิบัติราชกิจเป็นอย่างยิ่ง ทำให้มีขุนนางที่สุจริตซื่อสัตย์ช่วยเหลือในการปกครองบ้านเมืองไม่น้อย โดยพระองค์ได้ต่อต้านและเรียกร้องไม่ให้ขุนนางใช้แต่ภาษาที่สวยหรูแต่จอมปลอมอีกด้วย
ในช่วงยุครุ่งโรจน์ แห่งรัชกาลคัง-เฉียน ถือเป็นยุคทองอันรุ่งเรืองที่สุดในประวัติศาสตร์เกือบ 300 ปีของราชวงศ์ชิง และถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของจีน ไม่ว่าจะเป็นด้านพื้นที่การทำไร่ทำนา จำนวนผลผลิตการเกษตร จำนวนประชากรที่มี อย่างยากที่จะหายุคใดเปรียบเทียบได้ จากสถิติที่มีการบันทึก ในรัชกาลคังซีปีที่ 24 ทั่วประเทศมีพื้นที่สำหรับทำการเพาะปลูกถึง 600 ล้านไร่จีน เมื่อมาถึงช่วงปลายรัชกาลของเฉียนหลง ทั่วประเทศมีพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มเป็น 1,050 ล้านไร่จีน ผลผลิตทางการเกษตรทั่วประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 204,000 ล้านชั่ง จนเป็นประเทศที่มีผลผลิตสูงที่สุดในโลกในสมัยนั้น ในขณะที่จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นจากปี ค.ศ. 1700 ที่มีราว 150 ล้านคนมาเป็น 313 ล้านคนในปีค.ศ. 1794 หรือคิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของทั่วโลกในเวลานั้น

แผนที่แสดงพื้นที่ของจีนที่เพิ่มขึ้นในรัชกาลของฮ่องเต้คังซี
นาฬิกาดนตรี สร้างขึ้นในกว่างโจว สมัยฮ่องเต้เฉียนหลง
หลังราชวงศ์ชิงได้ผ่านยุครุ่งเรืองถึงขีดสุดมาแล้ว สรรพสิ่งก็ดำเนินไปตามวงเวียนแห่งกงล้อประวัติศาสตร์ จากรุ่งโรจน์สู่ความเสื่อมโทรม ไม่ว่ายุคสมัยใด บ้านเมืองเจริญได้ด้วยบุคคล ก็เสื่อมถอยด้วยบุคคลเฉกเดียวกัน และวันใดที่บ้านเมืองเริ่มเสื่อมถอย ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการฉวยโอกาสย่ำยีจากต่างชาติ...

 
อาทิตย์เที่ยงวันผ่านพ้น
แม้ว่าฮ่องเต้เฉียนหลงจะมีความวิริยะอุตสาหะในการบริหารปกครองบ้านเมือง ทว่ายุครุ่งโรจน์ของเฉียนหลงก็ประหนึ่งอาทิตย์เที่ยงวัน เมื่อผ่านพ้นย่อมเดินเข้าสู่ความเสื่อม ในช่วงหลังของรัชกาลเฉียนหลง กลับปรากฏขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงจนเป็นที่เลื่องลือในหน้าประวัติศาสตร์นาม ว่าเหอเซิน (和珅) ผู้มีนามเดิมว่าซ่านเป่า สังกัดกองธงแดงของแมนจู มีความเชี่ยวชาญในภาษาแมนจู ฮั่น มองโกล และทิเบตถึง 4 ภาษา
เมื่อแรกเริ่มรับราชการเหอเซินเริ่มต้นจากการเป็นทหารมหาดเล็กธรรมดาผู้หนึ่ง รับหน้าที่ในการหามเกี้ยวหรือถือธง ภายหลังเมื่อสบโอกาสได้แสดงความสามารถต่อหน้าพระพักตร์ของเฉียนหลง จึงเป็นที่โปรดปราน และได้เลื่อนขั้นอย่างต่อเนื่อง โดยเลื่อนขั้นเป็นราชองครักษ์ จากนั้นเป็นรองผู้บัญชาการกองธงน้ำเงิน โดยในช่วงเวลาที่รับราชการ 20 กว่าปี ได้รับการเลื่อนขั้นถึง 47 ครั้ง เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการเก็บค่าธรรมเนียมประตูเมืองฉงเหวิน ดูแลท้องพระคลังส่วนพระองค์ คลังหลวง ซึ่งในระยะแรกเหอเซินเองก็เป็นขุนนางที่มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความสามารถ จนสามารถช่วยหาทางเติมเต็มเงินในคลังหลวงที่ร่อยหรอให้มีมากพอกับการดำเนินโครงการสำคัญๆในบ้านเมืองอย่างการทหาร การจัดซ่อมสร้างเขื่อน การสร้างพระสุสาน เป็นต้น
 
ภาพเหอเซิน
บ้านของเหอเซิน
ยังไม่นับรวมกับผลงานอื่นๆ อีกมากมายอาทิการคลี่คลายคดีที่หยุนหนัน การตรวจสอบบัญชีที่ซันตง และการคิดค้นหม้อไฟขนาดเล็ก ที่ทำให้งานเลี้ยงที่มีแขกเหรื่อกว่า 530 โต๊ะของฮ่องเต้เฉียนหลงนั้นสามารถมีอาหารที่อุ่นได้อยู่ตลอดเวลา เนื่องจากเป็นที่โปรดปรานของเฉียนหลง เคยได้รับการควบดูแลหน้าที่ถึง 60 กว่าประการในเวลาเดียวกัน อีกทั้งได้รับพระราชทานพระธิดาพระองค์เล็กให้อภิเษกกับบุตรชายของเหอเซิน ทำให้เหอเซินซึ่งเป็นทั้งขุนนางใหญ่และกลายเป็นหนึ่งในพระประยูรญาติมีอำนาจมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
ภายหลังเหอเซินจึงเริ่มการแผ่ขยายอำนาจ ใช้ตำแหน่งหน้าที่ในการหาเงินทอง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโรงรับจำนำ เปิดร้านรับแลกตั๋วเงิน เหมืองแร่ และกิจการซื้อขายอื่นๆอีกมากมาย ยังไม่รวมถึงการฉ้อราษฎร์บังหลวง แบ่งพรรคแบ่งพวก ใช้อำนาจบาตรใหญ่ จนถึงกับมีบันทึกในสมัยต่อมาไว้ว่า “รัชสมัยเฉียนหลงแห่งต้าชิง เหอเซินใหญ่ยิ่งคับแผ่นดิน มีอำนาจเหลือล้นราชสำนัก เหล่าขุนนางพร้อมพรักชิงประจบ ทั้งขูดรีดฉ้อโกงอย่างเปิดเผย ละเลยขุนนางพรรคพวกอื่น จนระบบปกครองต้องพังครืน เหล่าขุนนางดาษดื่นด้วยคนพาล”
ต่อมาในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1795 ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ประกาศว่าจะมีการสละราชสมบัติให้กับพระโอรสในฤดูใบไม้ผลิปีต่อไป เนื่องจากไม่ต้องการครองราชย์นานกว่าพระอัยกาคังซี ทำให้เฉียนหลงฮ่องเต้ประกาศสละราชสมบัติในปี ค.ศ. 1796 เพื่อให้ตนอยู่ในตำแหน่งน้อยกว่าคังซี 1 ปี
ทว่าหลังสละราชสมบัติให้กับฮ่องเต้เจียชิ่งแล้ว พระองค์ก็ยังคงเป็นผู้ที่กุมอำนาจแท้จริงอยู่ด้วยการอาศัยตำแหน่ง “ไท่ซั่งหวง” (太上皇) หรือพระราชบิดาหลวง ในการร่วมฟังข้อราชการด้วยเป็นเวลาถึง 3 ปีจนกระทั่งเสด็จสวรรคต
กระทั่งวันที่ 13 เดือนอ้าย ค.ศ. 1799 หรือหลังจากที่เฉียนหลงฮ่องเต้สวรรคตเพียงวันเดียว ฮ่องเต้เจียชิ่งก็มีราชโองการประกาศความผิดของเหอเซิน 20 กระทง และมีบัญชาให้นำตัวไปกุมขัง ปลดออกจากตำแหน่ง และริบทรัพย์สมบัติทั้งหมดเข้าคลังหลวง
 
ตามบันทึกได้ปรากฏว่า การริบทรัพย์ของเหอเซินในครั้งนั้นมีเงินทั้งสิ้น 800 ล้านตำลึง ในขณะที่งบประมาณแผ่นดินจากภาษีในขณะนั้นอยู่ที่ประมาณ 70 ล้านตำลึงต่อปี กล่าวคือเพียงเงินของเหอเซินที่ได้มาจากการฉ้อราษฎร์บังหลวง ก็เทียบเท่ากับงบประมาณแผ่นดินถึง 10 กว่าปียังไม่รวมถึงหลักฐานอื่นที่พบอาทิชามทองคำ 4,288 ใบ โถเงิน 600 ชิ้น จานทอง 119 ใบ ทองคำ 5,800,000 ตำลึง เงินแท่ง 50,000 แท่ง และเพชรนิลจินดา ผ้าแพรไหมของมีค่าอื่นๆอีกมากมาย ดังนั้นหลังจากริบทรัพย์แล้วในภายหลังจึงมีการกล่าวขานว่า “เหอเซินล้มกลิ้ง เจียชิ่งอิ่มท้อง” ขึ้น (和珅跌倒,嘉慶吃饱)
หลังจากที่เหอเซินถูกกุมขัง 10 วัน ฮ่องเต้เจียชิ่งได้พระราชทานผ้าขาวให้แก่เหอเซิน เพื่อให้อัตวินิบาตกรรมแทนการประหารด้วยการแล่เนื้อทั้งเป็น ส่วนบุตรชายคนโตเนื่องจากได้อภิเษกกับองค์หญิงเหอเซี่ยว ทำให้เว้นจากการติดคุก ส่วนลูกหลานที่เหลือของเหอเซินก็ถูกเนรเทศไปยังหมู่บ้านที่อยู่ทางใต้ของเมืองฮาร์บินลงมาราว 60 กิโลเมตร ในมณฑลฮาร์บิน ในช่วงวาระสุดท้ายก่อนการรัดคอตนเองนั้น เหอเซินยังได้ประพันธ์บทกวีสุดท้ายไว้ว่า “ห้าสิบปีคืนวันดังความฝัน บัดนี้รามือพลันลาโลก วันหน้าเมื่อวารีท่วมมังกร ตามหมอกควันขจรมาเกิดกาย” แสดงถึงความรันทดและความแค้นที่มี สื่อความหมายถึงวันใดที่มีผู้กลับมาควบคุมฮ่องเต้ไว้ คนผู้นั้นก็คือเหอเซินที่กลับมาเกิดใหม่ ซึ่งมีคนตีความไว้ว่าเป็นซูสีไทเฮา ที่เกิดในปีค.ศ.1835 ที่แม่น้ำฮวงโหได้เกิดอุทกภัย
** ความร่ำรวยของเหอเซินนั้น ได้รับการจัดอันดับจากหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่อย่างวอลล์ สตรีท เจอร์นัล ให้เป็นหนึ่งใน 50 บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในรอบสหัสวรรษ เมื่อเดือนเม.ย. 2007 โดยก่อนหน้านั้นได้เคยรับการจัดอันดับให้เป็นบุคคลที่รวยที่สุดในศตวรรษที่ 18
 
การทุจริตฉ้อฉลของคนที่มีสติปัญญาและความสามารถอย่างเหอเซิน ไม่เพียงแต่ส่งผลให้ท้องพระคลังในราชสำนักลดลงเท่านั้น แต่ยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของการฉ้อราษฎร์บังหลวงไปทั่วแวดวงราชการ เท่ากับเป็นการทำลายระบบในการปกครองอันเข้มงวด ที่ได้พยายามวางรากฐานให้ขุนนางปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตกันมานานลง 
  
สงครามฝิ่น ครั้งที่ 1
แม้ราชวงศ์ชิงจะมีความยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม แต่ที่ผ่านมาก็เลือกที่จะปิดประเทศไม่ค้าขายกับชาติอื่น จนกระทั่งปี ค.ศ. 1757 หรือในรัชกาลเฉียนหลงปีที่ 22 ก็ได้มีการกำหนดให้เมืองกว่างโจวเป็นเมืองท่าเพียงแห่งเดียวที่ได้รับการอนุญาตให้ติดต่อกับต่างชาติ ซึ่งนับตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา อังกฤษได้นำเข้าใบชา ถ้วยชาม เครื่องเคลือบ และผ้าไหมจากจีนเป็นจำนวนมาก ในขณะที่มีสินค้าส่งออกให้จีนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้อังกฤษเสียเปรียบดุลการค้าให้จีนอย่างมหาศาล
กระทั่งรัชกาลเฉียนหลงปีที่ 28 หรือ ค.ศ. 1773 เพื่อถ่วงดุลการค้าที่เสียเปรียบ อังกฤษได้เริ่มนำเอาฝิ่นเข้ามาจำหน่ายในเมืองจีน ซึ่งเดิมทีสำหรับคนจีน นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 เป็นต้นมา ฝิ่นก็ถูกจัดและถูกใช้ในฐานะยาสมุนไพรประเภทหนึ่ง กระทั่งหลังจากที่อังกฤษได้เข้าพิชิตอินเดีย และได้มอบสิทธิผูกขาดในการจำหน่ายให้กับบริษัทอีสต์อินเดีย และนำเข้าจำหน่ายในจีนเป็นจำนวนมาก ซึ่งในเวลานั้นนอกจากอังกฤษแล้ว ยังมีอเมริกา ฝรั่งเศส และรัสเซีย ที่ต่างก็พยายามนำเอาฝิ่นจากตุรกี และเอเชียกลางมาจำหน่ายในจีนเช่นกัน

ในช่วงเวลานั้น ราคาของฝิ่นอยู่ชั่งละ 5 ตำลึงเงิน ในช่วงเวลา 40 ปีก่อนที่สงครามฝิ่นจะปะทุขึ้น อังกฤษได้ขนฝิ่นเข้ามาประเทศจีนมากถึง 400,000 ลัง จนดูดเอาเงินแท่งออกไปจากจีนได้ราว 300 ล้าน – 400 ล้านแท่ง จนกระทั่งเกิดปัญหาการขาดแคลนเงินแท่งภายในประเทศและทำให้ราคาของเงินแท่ง พุ่งสูงขึ้นไปกว่า 1 เท่าตัว จนประชาชนและประเทศชาติต่างยากจนลงไปตามๆกัน คนที่สูบฝิ่นมากขึ้นทุกขณะ ไม่เพียงแต่เป็นในวงขุนนางข้าราชการเท่านั้น แต่เลยไปถึงบรรดาเจ้าของที่ดิน พ่อค้า บัณฑิต และแม้กระทั่งชาวไร่ชาวนา ช่างแรงงาน ทหารก็ไม่เว้น

การสูบฝิ่นที่เริ่มแพร่ระบาดในสังคมจีน
ปี ค.ศ. 1821 ฮ่องเต้เจียชิ่ง เสด็จสวรรคต พระโอรสองค์ที่ 2 ได้ขึ้นครองราชย์มีพระนามว่าฮ่องเต้เต้ากวง ในเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ราชสำนักชิงฟอนเฟะ กองกำลังทหารอ่อนโทรม มีการลุกฮือขึ้นก่อความไม่สงบมากมาย และที่สำคัญก็คือการสูบฝิ่นที่แพร่ระบาดไปทั่ว

เมื่อมาถึงปี ค.ศ. 1838 ทั่วประเทศมีชาวจีนที่ติดฝิ่นมากถึง 2,000,000 คน จนถึงกับมีคำกล่าวว่าฝิ่นนั้น นอกจากจะขูดเอาเงินแท่งจากจีนไปแล้ว ยังได้ทำลายสุขภาพร่างกายและจิตวิญญาณชาวจีนไปด้วย ในปีเดียวกันนี้จึงมีกลุ่มขุนนางถวายฎีกาโดยเปิดโปงบรรดาข้าราชการที่ค้าฝิ่น และผลักดันให้มีการหยุดฝิ่นด้วยการลงโทษผู้ที่สูบอย่างรุนแรง หลังจากนั้นหลินเจ๋อสีว์ (林则徐) ผู้ตรวจการหูกว่างได้ถวายฎีกาถึง 3 ครั้งต่อฮ่องเต้เต้ากวง โดยระบุว่าหากไม่ทำการหยุดฝิ่นในประเทศจีน ในระยะยาวอีกหลายสิบปีนั้น จีนจะไม่เหลือทหารไว้รบ ไม่เหลือเงินไว้ใช้อีกต่อไป จนทำให้ฮ่องเต้เต้ากวงมีดำริที่จะปราบปรามฝิ่นอย่างจริงจัง

ปี ค.ศ. 1839 หลินเจ๋อสีว์ได้เตรียมคน และทหาร เดินทางออกจากปักกิ่งอย่างไม่เอิกเกริก เมื่อตรวจพบผู้กระทำผิดกฎหมายก็จะมีการดำเนินการลงโทษทันที และเมื่อเดินทางถึงกว่างโจว (กวางเจา) ก็ทำการลอบสืบเป็นการลับ จนกระทั่งรู้ถึงเส้นทางขนส่งและจำหน่ายฝิ่นแล้ว จึงเริ่มต้นมีคำสั่งให้พ่อค้าต่างชาติทำการส่งมอบฝิ่นในครอบครองออกมาทั้งหมด จากนั้นให้ทำทัณฑ์รับรองว่าจะไม่ขนฝิ่นลงเรือมายังประเทศจีนอีกตลอดไป ซึ่งหากมีครั้งต่อไปจะถูกริบและจับกุมคนดำเนินคดี
 
หลินเจ๋อสี่ว์
นอกจากนั้นหลินยังได้ทำการกวาดล้างปัญหาฝิ่น ด้วยการจัดการตั้งกฎอย่างเด็ดขาดให้ผู้เกี่ยวข้องกับการค้าฝิ่นจะถูกกุมขังในเรือนจำ ใครมีหลักฐานว่าเป็นผู้ค้าจะถูกตัดศีรษะเสียบประจาน ส่วนผู้ที่ติดฝิ่นก็จะมีการส่งเข้าสถานรักษาพยาบาลเพื่อช่วยให้เลิกฝิ่น จากนั้นก็จัดโครงการรณรงค์ให้อดฝิ่น โดยที่ใครทำสำเร็จทางการจะทำการประกาศเกียรติคุณให้เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้อื่น
หลินเจ๋อสีว์ได้กำหนดเวลา 3 วันให้ทุกคนที่มีฝิ่นนั้นส่งมอบออกมาให้หมด กระทั่งครบเวลาที่กำหนดขณะนั้นได้ฝิ่นทั้งสิ้นเพียง 1,037 ลัง เมื่อเห็นดังนั้น จึงมีคำสั่งให้ปิดล้อมร้านค้า ยกเลิกการค้าขายระหว่างจีนกับอังกฤษ ไม่อนุญาตให้ร้านค้าติดต่อกับเรือที่มีการขนฝิ่น ปลดพนักงานชาวจีนที่ทำงานกับผู้ค้าต่างชาติ แล้วนำกำลังออกปิดล้อมคลังสินค้า โดยหนึ่งในนั้นมีผู้ตรวจการพาณิชย์อังกฤษ ชาร์ลส์ เอลเลียต อยู่ด้วย เมื่อชาร์ลส์ในขณะนั้นไม่มีกำลังรบอยู่ในมือ และกลัวว่าพ่อค้าฝิ่นของตนจะถูกฆ่า จึงยอมส่งมอบฝิ่นจากเรือ 20 ลำออกมาจำนวนทั้งสิ้นปรากฏว่ามีถึง 20,283 ลัง
ในวันที่ทำการทำลาย ได้มีผู้คนจำนวนมากแห่แหนเข้ามาชมดูกันอย่างเนืองแน่น หลินเจ๋อสีว์ได้ให้คนขุดหลุมขนาดใหญ่ 2 หลุมบริเวณชายหาดหู่เหมิน แล้วจัดการเผาทำลายฝิ่นที่มีจำนวนกว่า 2,000,000 ชั่ง และใช้เวลาเผาทำลายถึง 3 สัปดาห์
 
ภายหลังสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษได้มอบอำนาจให้ ชาร์ลส์ เอลเลียต นำเรือ 40 กว่าลำ ทหารกว่า 4,000 คน มาอยู่ที่บริเวณมาเก๊า และทำศึกกับจีนซึ่งได้มีการเตรียมตัวรับมือไว้ก่อนแล้ว ทำให้ทั้งสองฝ่ายมีผู้คนล้มตายทั้งสองฝ่าย ถือเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามฝิ่นครั้งแรก 
 
ประจวบกับในเวลานั้นมีกลาสีชาวอังกฤษกลุ่มหนึ่งเมาอาละวาดฆ่าชาวจีนในเกาลูน ตายไปหนึ่งคน ชาร์ลส์ เอลเลียต ไม่ยอมส่งตัวจำเลยให้กับทางการจีน ทำให้ความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับชาวตะวันตกเพิ่มสูงขึ้น เมื่อถึงเดือนมิ.ย.ปี ค.ศ. 1840 กองเรือรบอังกฤษภายใต้การบัญชาการของ พลเรือเอกยอร์ช เอลเลียต ก็เดินทางมาถึง แล้วใช้กำลังเรือส่วนหนึ่งปิดท่าเอาไว้ จากนั้นส่งกำลังส่วนใหญ่แล่นขึ้นเหนือเข้ายึดเมืองติ้งไห่ ใช้เป็นศูนย์บัญชาการ จากนั้นในเดือนส.ค. ก็แล่นเรือขึ้นไปบริเวณใกล้ๆป้อมต้ากู ที่เทียนจิน ซึ่งเข้าใกล้ปักกิ่งมากขึ้นทุกที
 
ฮ่องเต้เต้ากวงในเพลานั้น เมื่อพบเห็นสถานการณ์คับขัน ก็ถึงกับครั่นคร้ามในแสนยานุภาพกองทัพของอังกฤษ ผนวกกับถูกคำยุยงจากฝ่ายที่ขอให้ยอมเจรจาสงบศึก จึงได้เปลี่ยนพระทัย จึงได้ส่งผู้ตรวจการฉีซั่นไปยังเทียนจิน เพื่อขอเจรจา โดยฉีซั่นได้เสนอเงื่อนไขก่อนเจรจาว่าจะมีการปลดและลงโทษหลินเจ๋อสีว์ และเปลี่ยนข้าหลวงคนใหม่ไปยังกว่างโจว อีกทั้งยอมรับฟังความเดือนร้อนของพ่อค้าอังกฤษ
ในขณะนั้นเป็นช่วงผลัดเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง มีโรคระบาดเกิดขึ้น ทำให้ทหารอังกฤษละทิ้งเมืองติ้งไห่ แล้วกลับไปเจรจากันที่กว่างโจวและลงนามใน “ร่างสนธิสัญญาชวนปี๋” ที่มีเนื้อหาว่าจีนจะต้องยกเกาะฮ่องกง และท่าเรือให้กับอังกฤษ จากนั้นชดใช้เงินให้กับรัฐบาลอังกฤษจำนวน 6,000,000 ตำลึงเงิน เปิดท่าเรือกว่างโจวให้เป็นท่าเรือพาณิชย์ โดยที่อังกฤษจะยอมถอนทหารออกจากซาเจี่ยว ป้อมปืนต้าเจี่ยวกลับไปที่ติ้งไห่

การลงนามสนธิสัญญาดังกล่าว เป็นการกระทำโดยพลการของฉีซั่น ทำให้ฮ่องเต้เต้ากวงทรงกริ้วเป็นอย่างมาก จึงมีรับสั่งปลดและลงโทษฉีซั่น จากนั้นส่งอี้ซัน ซึ่งเป็นขุนนางราชองครักษ์วังหลวง นำกำลังทหารหมื่นกว่าคนไปยังมณฑลกวางตุ้งเพื่อต่อต้านทัพอังกฤษ ที่ในขณะนั้นได้เข้ายึดครองฮ่องกงและติ้งไห่
 
ทหารของอังกฤษหลังจากยึดป้อมปืนใหญ่ได้หลายแห่ง ก็นำกำลังบุกโจมตีกว่างโจว จนทหารของจีนต้องหลบกลับเข้าในตัวเมืองกันหมด แม่ทัพอี้ซั่นจึงได้เสนอให้เจรจาสงบศึกอีกครั้ง จนมีการลงนามในสนธิสัญญากว่างโจว ซึ่งได้รับการอนุมัติจากเต้ากวงให้มีการชดใช้เงินจำนวน 6,000,000 ตำลึงเพื่อให้อังกฤษถอยออกจากเมือง

ทว่าท่าทีของประชาชนกลับแตกต่างจากราชสำนักที่ยอมอ่อนข้อให้กับทหารอังกฤษ จึงมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยที่ลุกขึ้นจับอาวุธ ต่อสู้กับทหารอังกฤษที่มีอยู่พันกว่านายในเกว่างโจว จนทำให้มีทหารอังกฤษเสียชีวิตไปหลายสิบคน

ในขณะที่ทางอังกฤษเองก็ไม่พอใจกับสิทธิที่ได้รับจากการเจรจาของ ชาร์ลส์ เอลเลียต ถึงกับมีการปลดเอลเลียต แล้วส่งเซอร์เฮนรี ป็อตติงเจอร์ ในเดือน ส.ค.ปี ค.ศ. 1841 ป๊อตติงเจอร์ได้นำเรือ 37 ลำพร้อมทหารอีก 2,500 คนออกจากฮ่องกง มุ่งขึ้นเหนือโจมตีเซี่ยเหมิน ถัดมาอีกเดือนกว่าๆ ก็สามารถบุกยึดติ้งไห่ โดยเก่อหยุนเฟย (葛云飞) ผู้บัญชาการทหารของเมืองต้องพลีชีพ จากนั้นก็บุกยึดเจิ้นไห่ หนิงปอ และบุกต่อไปโดยไม่สนใจคำขอเจรจาจากฝั่งจีน จนกระทั่งบุกยึดเป่าซัน เซี่ยงไฮ้ และเรื่อยไปถึงด่านทางใต้ของหนันจิง (นานกิง) ทำให้ทางการจีนจำต้องยอมเจรจาภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง เรียกว่า “ร่างสนธิสัญญานานกิง” โดยสนธิสัญญาที่ถือว่าเป็นสัญญาอัปยศของจีนนั้นมีเงื่อนไขโดยสรุปคือ

1. รัฐบาลต้าชิงจะต้องชดใช้เงินเงินทั้งสิ้น 21 ล้านตำลึง โดยแบ่งเป็นค่าปฏิกรรมสงคราม 12 ล้านตำลึง ค่าเสียหายให้พ่อค้าอังกฤษ 3 ล้านตำลึง และค่าเสียหายจากฝิ่นอีก 6 ล้านตำลึง โดยจำนวนนี้ไม่นับรวมกับ 6 ล้านตำลึงที่จ่ายไปก่อนหน้า

2. จะต้องยกเกาะฮ่องกงให้อังกฤษ

3. เปิดเมืองท่าทั้ง 5 ได้แก่กว่างโจว เซี่ยเหมิน ฝูโจว หนิงปอ และเซี่ยงไฮ้เป็นเมืองท่าพาณิชย์

4. ภาษีทั้งขาเข้าและขาออกของพ่อค้าอังกฤษให้เป็นไปตามการเจรจาของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งหลังจากนั้นอีก 1 ปีจีนยังได้ลงนามในข้อตกลงและวิธีปฏิบัติ ซึ่งมีสัญญาเพิ่มเติมจากสนธิสัญญานานกิงโดยกำหนดให้อังกฤษมีสิทธิสภาพนอกอาณาเขต คือชาวอังกฤษไม่อยู่ใต้กฎหมายของประเทศที่พำนักอาศัย เมื่อกระทำผิดหรือถูกฟ้อง คดีความจะถูกตัดสินพิจารณาคดีโดยกงสุลของประเทศตนเอง และอังกฤษจะต้องเป็นประเทศที่ได้รับผลประโยชน์อย่างดีที่สุด กล่าวคือหากจีนมีการให้สิทธิพิเศษด้านการค้า เดินเรือ ภาษี หรือ การคุ้มครองทางกฎหมายแก่ประเทศใด อังกฤษจักได้รับสิทธิดังกล่าวไปด้วยเช่นกัน และการลงนามในสนธิสัญญานานกิงนี้ก็ถือเป็นจุดจบของสงครามฝิ่นครั้งที่ 1 ลง
 
ภาพวาดการลงนามในสนธิสัญญานานกิง
กบฏไท่ผิงเทียนกั๋ว(太平天国)
 
ภายหลังราชวงศ์ชิงพ่ายแพ้ในสงครามฝิ่น ได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคมจีนขึ้นอย่างรุนแรง รัฐบาลต้าชิงได้หมดเงินไปกับการทหารในสงครามดังกล่าวถึง 70 ล้านตำลึง บวกกับต้องชดใช้ให้กับต่างชาติตามร่างสนธิสัญญานานกิงอีก 21 ล้านตำลึง ภาระเหล่านี้ถูกผลักโอนมายังชาวไร่ชาวนาทั่วไป ซ้ำร้ายยังถูกขุนนางกับเจ้าของที่ดินขูดรีด ทำให้ประชาชนต้องแบกภาระ และชำระภาษีมากกว่าที่กำหนดไว้ตามตัวบทกฎหมายหลายเท่า บวกกับเงินแท่งมีมูลค่าสูงขึ้น และภัยธรรรมชาติจากอุทกภัยและภัยแล้ง จนประชาชนต้องอดอยากและประสบทุกข์เข็ญอย่างยิ่ง

ผลของความวุ่นวายในสังคม และความลำบากของราษฎร ได้ก่อให้เกิดกลุ่มกบฏชาวนาขึ้นในช่วงปลายราชวงศ์ชิง โดยกลุ่มกบฏนี้ได้ตั้งชื่อตนเองว่า “ไท่ผิงเทียนกั๋ว” อันหมายถึงอาณาจักรสวรรค์อันสันติสุข ซึ่งผู้นำกลุ่มกบฏนี้มีนามว่า หงซิ่วเฉวียน (洪秀全) ที่เคยเป็นบัณฑิตสอบตกหลายสมัย ในขณะที่กำลังท้อแท้หมดอาลัยกลับได้พบกับหมอสอนศาสนา ซึ่งหลังจากที่ได้อ่านหลักคำสอนในศาสนาคริสต์แล้วพบว่ามีการระบุถึง “ดินแดนสวรรค์ที่ทุกคนต่างดีงามและเสมอภาค” แล้ว ยิ่งทำให้หงมีความสนใจและเริ่มต้นนับถือพระผู้เป็นเจ้าขึ้น
 
ค.ศ. 1843 หงซิ่วเฉวียน ได้ชักชวน เฝิงหยุนซัน ที่เป็นเพื่อนสมัยเรียนและลูกพี่ลูกน้องชื่อ หงเหรินกาน ไปยังลำธารเล็กๆสายหนึ่ง จากนั้นกระโดดลงไปในน้ำ ชำระร่างกายจนสะอาด เป็นสัญลักษณ์เหมือนการทำพิธี “ใช้น้ำเข้าจารีต” ของศาสนาคริสตร์ จากนั้นทั้งสามก็ได้ตกลงกันอย่างลับๆในการจัดตั้ง “สมาคมนับถือพระเจ้า” (拜上帝会) ขึ้น และประกาศว่าตนเป็นบุตรคนรองของพระผู้เป็นเจ้า หรือเป็นน้องชายของพระเยซู
หลังจากจัดตั้งสมาคมขึ้น หงกับเฝิงหยุนซันก็เดินทางไปเผยแพร่คำสอนที่เขตจื่อจิงซัน ในมณฑลกว่างซี (กวางสี) หลังจากนั้นก็เดินทางไปยังกว่างตง (กวางตุ้ง) ในระยะเวลา 2 ปีกว่าๆ ที่เผยแพร่ศาสนา ก็ได้ทำการเขียนหนังสือต่างๆออกมา ว่าด้วยการผลักดันอุดมการณ์ความเท่าเทียมกันของชาวนา
ในขณะนั้นเฝิงหยุนซันก็สามารถรวมรวบสมาชิกได้หลายพันคน จนกระทั่ง ค.ศ. 1850 ฮ่องเต้เต้ากวงทรงสินพระชนม์ มีราชโอรสขึ้นครองราชย์ พระนามว่าฮ่องเต้ชิงเหวินจง (清文宗) หรือเรียกตามชื่อรัชกาลว่าฮ่องเต้เสียนเฟิง (咸丰皇帝) ในเวลานั้นสมาคมนับถือพระเจ้าได้รวบรวมคนมามากกว่า 20,000 คน โดยสมาชิกส่วนใหญ่เป็นชาวนาที่ยากจนข้นแค้นเป็นหลัก
กระทั่งเดือน มิ.ย.- ก.ค. ในปีเดียวกัน สมาชิกแต่ละคนได้นำเอาทรัพย์สินสิ่งของมีค่าของตนมาสมทบทุนกันตามแต่ฐานะที่มี รวมเป็นกองทุนที่เรียกว่า “สมบัติศักดิ์สิทธิ์” จากนั้นก็จัดทั้งหน่วยสู้รบชายและหญิง โดยแยกค่ายทหารชายกับหญิงออกจากกัน และมีการตราระเบียบวินัยอย่างเข้มงวดอาทิ ห้ามทุจริต ห้ามสูบฝิ่น ห้ามข่มขืนสตรีซึ่งมีโทษถึงขั้นประหารชีวิต นอกจากนั้นยังให้สมาชิกชาย ตัดหางเปียทิ้ง โดยระบุว่าเป็นเครื่องหมายข้าทาสของแมนจู แล้วให้หันมาไว้ผมยาวแทน
ช่วงต้นปี ค.ศ. 1851 สมาคมนับถือพระเจ้ามีสมาชิกมากถึง 30,000 คนมีการประกาศสถาปนาอาณาจักร “ไท่ผิงเทียนกั๋ว” ขึ้น โดยหงซิ่วเฉวียนตั้งตนเป็น “เทียนหวัง” หรือกษัตริย์สวรรค์ขึ้น จากนั้นก็แต่งตั้งหยางซิ่วชิง เป็นตงหวัง หรือเจ้าบูรพา แต่งตั้งเซียวเฉากุ้ยเป็นซีหวาง หรือเจ้าประจิม ตั้งเฝิงหยุนซันเป็นหนันหวัง หรือเจ้าทักษิณ เหวยชังฮุยเป็นเป็นหวังเจ้าอุดร และสือต๋าไคเป็น อี้หวังหรือเจ้าปีกทัพ เริ่มต้นกระบวนการปฏิบัติที่ยาวนานถึง 14 ปี
 
ชุดมังกรของไท่ผิงเทียนกั๋ว
เหรียญที่ไท่ผิงเทียนกั๋วผลิตไว้ใช้ในอาณาเขตของตน
หลังจากนั้นกองทัพก็เริ่มต่อสู้กับกองกำลังราชวงศ์ชิง โดยบุกขึ้นเหนือไปยังกุ้ยหลิน ล้อมฉางซา ยึดอี้ว์โจว และเอาชนะที่อู่ชังได้ ทำให้ได้เรือมานับหมื่นลำ ได้อาวุธ และปืนใหญ่เป็นจำนวนมาก มีการตั้งกองทัพเรือขึ้น กระทั่งสามารถบุกหนันจิง (นานกิง) ในเดือน มี.ค. ปี ค.ศ. 1853 นี้ไท่ผิงเทียนกั๋วมีสมาชิกราว 500,000 คน

หลังจากยึดนานกิง ก็ได้อาศัยเปลี่ยนชื่อเป็นเทียนจิง และใช้เป็นเมืองหลวงของอาณาจักร และส่งกองทัพสองสายบุกขึ้นเหนือและตะวันตก โดยทางเหนือบุกยึดไปถึงเทียนจิน ส่วนสายตะวันตกก็บุกไปตามแม่น้ำฉางเจียงสู่อู่ชาง ฮั่นหยาง และฮั่นโข่ว ในช่วงระยะเวลา 3 ปี ซึ่งส่วนใหญ่จะประสบชัย ได้เข้ายึดครองดินแดนด้านตะวันออกของมณฑลหูเป่ย เจียงซี และอันฮุย ซึ่งถือเป็นช่วงรุ่งโรจน์ที่สุดของอาณาจักร

ประชาชนในอาณาจักรไท่ผิงเทียนกั๋วมีเป็นหลักล้าน ได้จัดตั้งสกุลเงินของตนเองขึ้นมาใช้ และได้มีการกำหนดนโยบายในการปกครองสำคัญๆขึ้น เช่นระบบการจัดสรรที่นาเทียนเฉา ที่ให้ที่ดินทั่วประเทศเป็นสาธารณะให้ทุกคนมีสิทธิ์ในการถือครองอย่างเท่าเทียมกัน แล้วมี “ยุ้งฉางกลาง” ที่ให้ผลผลิตเป็นของส่วนกลาง แล้วจัดสรรให้ตามลำดับชั้นฐานะ ส่งเสริมให้ชายหญิงเท่าเทียมกัน ให้ผู้หญิงมีสิทธิ์สอบเข้ารับราชการเป็นขุนนางได้ สั่งห้ามการซื้อขายฝิ่น อนุญาตให้พ่อค้าต่างชาติค้าขายได้อย่างเท่าเทียมกัน อีกทั้งมีการยกเลิกประเพณีต่างๆ เช่นการมัดเท้าสตรี ให้รื้อทำลายศาลเจ้า ห้ามบูชากราบไหว้ ยกเลิกการแต่งงานด้วยการซื้อขาย และห้ามการซื้อทาสเป็นต้น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากบฏไท่ผิงเทียนกั๋วจะสามารถสร้างอาณาจักรของตนขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แต่สุดท้ายจากการที่ผู้นำกบฏเกิดขัดแย้งกันเอง โดยหยางซิ่วซิงได้แยกตัวออกไป จากนั้นหงซิ่วเฉวียน ได้ให้ เหวยชังฮุยไปสังหารหยางซิ่วซิง แต่สุดท้ายเหวยชังฮุยก็ถูกหงซิ่วเฉวียนสังหาร ในขณะที่สือต๋าไคก็ต้องพาทหารตนเองหลบหนีไป กระทั่งกองทัพเริ่มอ่อนแอลง กอปรกับราชสำนักชิงในตอนนั้น ได้ร้องขอให้กองทัพอังกฤษซึ่งมีอาวุธอันทันสมัยมาร่วมมือกับทหารในกองทัพไฮว๋ของหลี่หงจาง และกองทัพหูหนัน ของจางกั๋วฟาน จนกองกำลังของไท่ผิงเทียนกั๋วสูญเสียที่มั่นไปเรื่อยๆ กระทั่งปลายปี ค.ศ. 1863 ในรัชกาลถงจื้อปีที่ 2 ทหารชิงก็สามารถล้อมเมืองเทียนจิง (นานกิง) ทว่าหงซิ่วเฉวียนไม่ยอมทิ้งเมืองหลวงไปตั้งหลักในที่ใหม่ จนกระทั่งหงซิ่วฉวนซึ่งเจ็บป่วยอยู่ได้สั่งให้ประชาชนกินหญ้าแทนข้าว โดยตนเองได้เริ่มต้นกินก่อน จนทำให้อาการป่วยทรุดหนักลง ประกอบกับไม่มียารักษาจึงทำให้เสียชีวิตลง ซึ่งบางตำราก็ระบุว่าหงซิ่วเฉวียนได้ฆ่าตัวตาย แต่แม้กระนั้นทหารไท่ผิงนับแสนคนในเทียนจิง ก็ยังคงสู้โดยไม่ยอมแพ้ จนกระทั่งสุดท้ายกว่าทหารชิงจะสามารถเอาชนะได้ อาณาจักรไท่ผิงเทียนกั๋วก็จบลงด้วยทะเลเลือด
 
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดกระหน่ำสู่ราชวงศ์ชิงช่วงปลายอย่างเหมือนไม่รู้จบสิ้น ในภายหลังเมื่อถึงค.ศ. 1856 ก็ได้เกิดสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 ขึ้น โดยกินระยะเวลา 4 ปี โดยมีมูลเหตุมาจากหลังช่วงเกิดเหตุกบฏไท่ผิงเทียนกั๋ว อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐฯ รัสเซียก็คิดจะตักตวงผลประโยชน์จากจีนมากขึ้น 
 
ธงราชวงศ์ชิง
ซูสีไทเฮา - นานาชาติรุมทึ้ง
 
โดยอังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐฯ รัสเซียยื่นข้อเสนอในการเพิ่มการเปิดท่าเรือต่างๆ พร้อมตั้งสถานทูตในกรุงปักกิ่ง แต่ไม่ได้รับการตอบรับจากราชสำนัก ประจวบกับเจ้าหน้าที่จีนได้จับกุมลูกเรือในเรือแอร์โรว์ในข้อหาโจรสลัดและ ลักลอบขนของเถื่อน ทางอังกฤษจึงใช้เป็นข้ออ้างในการประท้วงต่อผู้ว่าเมืองกว่างโจว เมื่อผู้ว่าเมืองกวางตุ้งยอมคืนคนให้ แต่ไม่ยอมขอขมา ทำให้กองทหารของอังกฤษเริ่มนำทหารเข้ายึดป้อมต่างๆ และในช่วงนั้นมีมิชชันนารีฝรั่งเศสคนหนึ่งถูกชาวจีนสังหาร รัฐบาลของนโปเลียนที่ 3 ส่งกองกำลังมาเข้าร่วมกับกองทหารของอังกฤษ จากนั้นบุกยึดกว่างโจว แล้วจับกุมผู้บัญชาการทหารกว่างโจวเอาไว้ 
 
จากนั้นกองกำลังผสมอังกฤษฝรั่งเศสก็บุกขึ้นเหนือ ยึดป้อมปืนใหญ่ต้ากู บุกประชิดเทียนจิน เมื่อนั้นฮ่องเต้เสียนเฟิงจึงมีรับสั่งให้มหาบัณฑิตกุ้ยเหลียง (桂良) กับเจ้ากรมปกครองฮวาซาน่ามาลงนามในสนธิสัญญาเทียนจิน โดยมีเนื้อหาให้เปิดท่าเรือหนิวจวง เติงโจว ไต้หวัน ตั้นสุ่ย เฉาโจว จิงโจว ฮั่นโข่ว จิ่วเจียง เจียงหนิง เจิ้นเจียงเป็นท่าเรือพาณิชย์ , ให้เรือพาณิชย์ต่างชาติสามารถล่องเข้าไปค้าขายตามท่าของแม่น้ำแยงซีเกียง ให้ชาวต่างชาติสามารถเข้าไปท่องเที่ยวทำการค้า ให้ชาวต่างชาติสามารถเข้าไปเผยแพร่ศาสนาได้อย่างอิสระ ให้กงสุลฝรั่งเศสเป็นผู้พิพากษาในคดีที่มีชาวฝรั่งเศสเป็นคู่ความ ชดใช้เงินให้อังกฤษ 4 ล้านตำลึง และฝรั่งเศส 2 ล้านตำลึง และยอมรับให้การค้าฝิ่นนั้นถูกกฎหมาย
นอกจากนั้นในระหว่างที่อังกฤษบุกยึดป้อมต้ากู รัสเซียที่นำโดยข้าหลวงใหญ่ประจำไซบีเรียตะวันออก นามเคาต์มูราเวียฟบุกยึดดินแดนในแถบฝั่งซ้ายและทางเหนือของแม่น้ำเฮยหลงเจียง จากนั้นใช้กำลังข่มขู่ให้ทำสนธิสัญญาไอกุน ทำให้รัสเซียมีสิทธิ์ในดินแดนแม่น้ำอัสซูรีไปทางตะวันออกจนถึงทะเลญี่ปุ่น ด้วย

จากนั้นเมื่อถึงปี ค.ศ. 1859 ได้เกิดความขัดแย้งเรื่องการแก้ไขสนธิสัญญา จนกระทั่งปี ค.ศ.1860 รัชกาลฮ่องเต้เสียนเฟิงปีที่ 10 กองทัพพันธมิตรอังกฤษ-ฝรั่งเศสกว่า 10,000 คนได้ขึ้นฝั่งที่เป่ยถัง ยึดถังกู ป้อมปืนใหญ่ต้ากู ในขณะที่กำลังจะยึดครองเทียนจินได้อีกครั้ง ทางการชิงก็ได้ส่งมหาบัณฑิตกุ้ยเหลียงกับพวกเพื่อไปเจรจา ทว่าถูกฝ่ายรุกรานยื่นข้อเสนอที่สูงมาก ทำให้การเจรจาไม่ประสบความสำเร็จเมื่อกองทัพอังกฤษ-ฝรั่งเศสบุกมาถึงทงโจว ทหารชิงได้เข้ารับศึกที่สะพานปาหลี่ ทำการต่อสู้อย่างดุเดือดเป็นเวลา 3-4 ชั่วโมง
สุดท้ายกองทัพต้าชิงก็พ่ายแพ้ จนกองทัพอังกฤษฝรั่งเศสบุกเข้าถึงปักกิ่ง เหล่าขุนนางจึงทูลขอให้ฮ่องเต้เสียนเฟิงเสด็จลี้ภัยออกไปยังเร่อเหอ กองทัพพันธมิตรได้มุ่งตรงไปยังพระราชอุทยานหยวนหมิงหยวน อันเป็นพระราชวังสำหรับแปรพระราชฐาน สร้างขึ้นด้วยศิลปะและการออกแบบผสมผสานระหว่างตะวันตกกับตะวันออก เก็บมรดกล้ำค่าทางวัฒนธรรมเอาไว้มากมาย ตั้งอยู่ทางตะวันตกนอกเมืองปักกิ่ง และกระทำการปล้นชิงเอาเงินทองทรัพย์สมบัติไปเป็นการใหญ่ จากนั้นจุดไฟเผาทำลายจนไหม้ลามกินเนื้อที่กว่า 10 ตารางไมล์เป็นเวลา 2 วันจนท้องฟ้าเหนือกรุงปักกิ่งมืดครึ้มไปด้วยควันเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน
 
พระราชอุทยานหยวนหมิงหยวนนั้น เดิมเป็นเพื้นที่อุทยานที่ฮ่องเต้คังซีเคยพระราชทานให้กับฮ่องเต้ยงเจิ้งใน สมัยที่ยังเป็นองค์ชายสี่ และการที่ทรงพระราชทานพระนามหยวนหมิง มีความหมายถึง “จิตวิญญาณแห่งวิญญูชน” และ “การใช้คนอย่างมีสติปัญญา”ภายหลังเมื่อฮ่องเต้ยงเจิ้งครองราชย์ จึงได้ทำการบูรณะขยายให้กว้างขวางขึ้น จนสำเร็จลุล่วงในรัชกาลของฮ่องเต้เฉียนหลง และมีอายุคงอยู่มากว่า 150 ปีจนกระทั่งถูกเผาทำลายใต้เงื้อมมือของทัพพันธมิตรอังกฤษ-ฝรั่งเศส  
ในขณะที่ฮ่องเต้เสียนเฟิงเสด็จลี้ภัย ได้มอบหมายให้กงชินหวัง อี้ซิน (恭亲王 弈訢) และฉุนชินหวัง อี้เซวียน(醇亲王 弈譞) เป็นตัวแทนพระองค์ นำคณะไปเจรจาสงบศึก จนกระทั่งได้ลงนามในสัญญาอันไม่ยุติธรรมอีกฉบับหนึ่ง ที่เรียกว่า “สนธิสัญญาปักกิ่ง”โดยระบุจะต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามให้กับอังกฤษและ ฝรั่งเศสประเทศละ 8 ล้านตำลึง ยกเกาลูนให้อังกฤษ เปิดเทียนจินเป็นท่าเรือพาณิชย์ ให้มิชชันนารีเข้ามาซื้อที่ดินและสร้างโบสถ์ได้ อนุญาตให้ชาวต่างชาติจ้างคนจีนไปทำงานในต่างประเทศได้
หลังลงนามในสนธิสัญญากับอังกฤษและฝรั่งเศสแล้ว จึงได้ทูลเชิญให้ฮ่องเต้เสียนเฟิงเสด็จกลับเมืองหลวง ทว่าฮ่องเต้เสียนเฟิงก็ยังไม่ยอมเสด็จกลับ กระทั่งเดือน ส.ค. ปี ค.ศ. 1861 ฮ่องเต้เสียนเฟิงได้เสด็จสวรรคตอย่างกะทันหัน ด้วยพระชนมายุเพียง 31 ชันษา ในยามนั้นฮองเฮาฉืออัน (慈安)ไม่มีพระโอรส มีเพียงแต่ฮองเฮาตะวันตกฉือซี (慈禧) หรือที่คนไทยเรียกว่า “ซูสี” ที่มีโอรสพระนามว่าไจ่ฉุน (载淳) ที่ขณะนั้นอายุเพียง 5 ชันษา และได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้องค์ต่อมา โดยมีบรมราชโองการของฮ่องเต้เสียนเฟิง ที่ระบุให้มีการตั้งผู้ช่วยสำเร็จราชการทั้ง 8 คนขึ้น

ส่วนฮองเฮาทั้ง 2 หลังไจ่ฉุนขึ้นครองราชย์ เป็นฮ่องเต้ชิงมู่จง (清穆宗) หรือฮ่องเต้ถงจื้อ (同治)เมื่อเรียกตามปีรัชกาลที่เปลี่ยนแปลงในภายหลัง โดยในช่วงเวลาที่กำลังส่งเสด็จพระศพของฮ่องเต้เสียนเฟิงกลับสู่ปักกิ่ง ซูสี ซึ่งขณะนั้นได้ขึ้นเป็นไท่โฮ่ว (太后) หรือไทเฮา ตามศักดิ์อันเป็นพระมารดาแห่งฮ่องเต้ ก็ได้ร่วมมือกับกงชินหวังทำการรัฐประหารยึดอำนาจคืนจากผู้สำเร็จราชการทั้ง 8 โดยระบุว่าเป็นผู้ที่ร่างพระราชโองการปลอมในการแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการ
 
ซูสีไทเฮา
หลังจากนั้นเป็นต้นมา พระนางซูสีไทเฮา กับพระนางฉืออันก็ได้ร่วมปกครองบ้านเมือง โดยจะประทับฟังราชกิจอยู่เบื้องหลังฮ่องเต้ โดยมีผ้าม่านกั้นกลางเอาไว้ หรือที่หลายคนเรียกว่ากุมการปกครองหลังผ้าม่าน กระทั่งในภายหลัง เมื่อซูสีไทเฮาสามารถกุมอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ และสามารถควบคุมการปกครองได้อย่างเบ็ดเสร็จ จึงถูกเรียกว่าเป็นการกุมการปกครองหลังม่านเหล็ก
พระนางซูสีไทเฮา สตรีผู้ยึดครองอำนาจราชสำนักชิงอย่างเบ็ดเสร็จเป็นเวลา 47 ปีจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ไปเองโดยไม่มีใครสามารถโค่นล้มลงได้ผู้นี้นั้น เดิมนางเป็นบุตรีของนายทหารแมนจูชั้นผู้น้อย เกิดในตระกูลเยี่ยเฮ่อนาลา หรือเยโฮนาลา (叶赫那拉) ในปี ค.ศ. 1835 และถวายตัวเข้าวังในเดือน พ.ค. ปี ค.ศ. 1852 ด้วยอายุเพียง 16 ปี หลังจากนั้นเมื่อได้ให้กำเนิดพระโอรสและได้รับการแต่งตั้งเป็นสนมในปี ค.ศ. 1856 เมื่อฮ่องเต้เสียนเฟิงสวรรคต พระนางได้สั่งประหารผู้สำเร็จราชการทั้ง 8 จนกุมอำนาจในราชสำนักด้วยพระชนม์เพียง 26 ปี
 
ขบวนการเลียนแบบตะวันตก (洋务运动)
หลังจากลงนามในสนธิสัญญาปักกิ่ง ได้ทำให้ราชสำนักจีนเริ่มตระหนักว่า บรรดาคนเถื่อนที่จีนเคยมองนั้น กลับกลายเป็นประเทศที่มีแสนยานุภาพทางกองทัพก้าวหน้ากว่าจีนเป็นอันมาก จึงทำให้เกิดความคิดที่ว่า การที่จะสร้างให้ชาติจีนเข้มแข็งขึ้น จำเป็นจะต้องสร้างแสนยานุภาพตามอย่างตะวันตกเท่านั้น
อันที่จริงแนวความคิดดังกล่าว มีมาตั้งแต่สมัยวีรบุรุษปราบฝิ่นนามหลินเจ๋อสี่ว์ ที่ได้เคยชี้ว่าสิ่งที่ต้องเรียนรู้จากคนเถื่อนก็คือเรือที่เข้มแข็งกับปืนที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ เพียงแต่ไม่ได้ถูกนำมาใช้ จนกระทั่งได้ถูกนำเสนอขึ้นมาอีกครั้งจนเกิดเป็นขบวนการเลียนแบบตะวันตกขึ้น ในช่วงปีค.ศ.1860-ค.ศ.1890 โดยมีกงชินหวัง อี้ซิน เป็นแกนกลางในเมือง และในส่วนภูมิภาคได้แก่ เจิงกั๋วฟาน (曾国藩) และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเขาอาทิหลี่หงจาง (李鸿章) ศิษย์ของเจิงกั๋วฟาน และลูกน้องของเจิงกั๋วฟานอย่าง จั่วจงถัง (左宗棠) และบัณฑิตจางจือต้ง (张之洞) 
 
เจิงกั๋วฟาน
ขบวนการเลียนอย่างตะวันตกมีแนวคิดสำคัญโดย มีการจัดตั้งสำนักงานราชการที่ใช้ติดต่อกับต่างประเทศโดยเฉพาะ เรียกว่า “จ๋งหลี่หยาเหมิน” (总理衙门) มีการปรับปรุงกองกำลังทหาร จัดซื้ออาวุธปืน จักตั้งหน่วยงานที่ฝึกใช้ปืน ตั้งกอทัพเรือเป่ยหยาง และกองทัพเรือฝูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) มีการตั้งโรงงานยุโธปกรณ์ที่เทียนจิน, เซี่ยงไฮ้ และนานกิง ในด้านการศึกษามีการตั้งโรงเรียนสอนภาษาต่างประเทศอย่าง ถงเหวินก่วน (同文馆) เพื่อเป็นโรงเรียนสอนภาษาและความรู้ต่างประเทศ ให้มาเป็นบุคลากรในการแปล ส่งนักเรียนไปศึกษาต่อต่างประเทศ และมีการเริ่มต้นทำอุตสาหกรรมเหมืองแร่ การต่อเรือพาณิชย์ 
 
ในช่วงต่อมาหลังจากที่ญี่ปุ่นได้เริ่มพัฒนาประเทศตนเองจนเข้มแข็งขึ้น จึงได้อาศัยข้ออ้างที่ชาวเกาะริวกิวเรือแตกแล้วพลัดไปขึ้นเกาะไต้หวันแต่ถูกคนป่าในไต้หวันขณะนั้นฆ่าตาย จนในปี ค.ศ.1872 ญี่ปุ่นได้บุกยึดริวกิว จากนั้นก็บุกต่อไปยังไต้หวัน สุดท้ายเหมือนญี่ปุ่นประกาศว่าเกาะริวกิวเป็นของตนทั้งหมดโดยที่ทางการแมนจูไม่ทำอะไร จึงได้สงบลงชั่วคราว
ต่อมาเมื่อจีนตระหนักถึงความสำคัญของเรือรบ จึงได้มีความพยายามจัดตั้งกองทัพเรือทันสมัยขึ้น โดยจัดให้มีกองทัพเป่ยหยาง หรือกองกำลังเหนือ (北洋海军) กับกองทัพหนันหยาง หรือกองกำลังใต้ (南洋海军)กองทัพเรือกวางตุ้ง (广东海军) กองทัพเรือฮกเกี้ยน (福建海军) ซึ่งในขณะเริ่มจัดตั้งนั้นยังมีงบประมาณส่งถึงอยู่ดี แต่ในภายหลัง เนื่องจากพระนางซูสีไทเฮามักเบิกเงินมาใช้เพื่อบำรุงบำเรอส่วนพระองค์ โดยเบิกในนามของ “ทุนสร้างกองทัพเรือ” ทำให้เงินงบประมาณไปไม่ถึง ซูสีไทเฮาได้นำเงินไปสร้างพระราชวังฤดูร้อน ขึ้นแทนจากที่พระราชวังหยวนหมิงหยวนถูกเผาทำลายไป ยังไม่รวมถึงเงินที่นำไปใช้ในงานวันเกิดของพระนางที่มากถึง 2 ล้านตำลึง โดยงบประมาณที่ซูสีไทเฮานำไปใช้ส่วนตัวนั้นเท่ากับมีมากถึง 26 ล้านตำลึง
ผลของการกระทำดังกล่าวได้ประจักษ์ชัดในสงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่นที่ปะทะขึ้นอีกคราในกรณีข้อพิพาทเกี่ยวกับเกาหลี กองทัพเรือเป่ยหยางของจีน ปะทะกับกองทัพเรือของญี่ปุ่นที่มีจำนวนเรือเท่าๆกัน แต่เรือของจีนกลับถูกจมลงทั้งหมด อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าความพยายามปฏิรูปกองทัพเรือทว่าถูกเบียดบังงบประมาณไปนั้น ได้ทำให้กองทัพเรือของจีนขาดความพร้อม และอ่อนแอมากเพียงใด
ในช่วงเวลา 100 วันของการปฏิรูป คังโหย่วเหวยและพรรคพวกได้เสนอแนวความคิดในการปฏิรูปกฎหมายต่างๆ ทำให้กวงซี่ว์ได้ยกเลิกกฎหมายเก่า และประกาศใช้กฎหมายใหม่กว่า 100 ฉบับ ทว่าการปฏิรูปกฎหมายใหม่เหล่านี้ก็ถูกขัดขวางจากกลุ่มอำนาจเก่าอย่างรุนแรง โดยกฎหมายที่ประกาศใหม่นั้น ในช่วงครึ่งเดือนแรกของเดือน มิ.ย.จะเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับด้านเศรษฐกิจ การทหาร การศึกษา ในขณะที่ครึ่งเดือนหลังของเดือน มิ.ย.ก็จะเป็นกฎหมายที่ขยายไปถึง เรื่องการปกครอง โดยหลักๆเน้นที่การปลดข้าราชการ ปรับเปลี่ยนโครงสร้างการทำงานที่ซ้ำซ้อน อนุญาตให้ขุนนางใหญ่น้อยและประชาชนถวายฎีกา ทว่ากฎหมายใหม่เหล่านี้ นอกจากผู้ตรวจการมณฑลหูหนันที่นำไปปฏิบัติอย่างจริงจังแล้ว ที่เหลือส่วนใหญ่มักจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ส่วนหน่วยงานใหม่ๆ ที่มีการจัดตั้งขึ้นก็ถูกควบคุมด้วยอำนาจของฝ่ายอนุรักษ์ ทำให้กฎหมายใหม่เหล่านี้แทบไม่ได้มีผลในการปฏิบัติจริงนัก
แต่แล้วความพยายามในการปฏิรูปกฎหมายนี้ ได้สร้างความไม่พอพระทัยให้กับพระนางซูสีไทเฮาอย่างยิ่ง เนื่องจากทรงรู้สึกว่าอำนาจของตนกำลังถูกสั่นคลอน ทำให้เริ่มต้นต่อต้านกลุ่มปฏิรูปที่นำโดยฮ่องเต้กวงซี่ว์ การต่อต้านจากซูสีไทเฮา ได้ทำให้กลุ่มปฏิรูปที่ไม่มีกำลังทหารในมือบังเกิดความตื่นตระหนก จึงได้หันไปขอความร่วมมือจากหยวนซื่อข่าย (袁世凯) ที่ดูแลกำลังทหารบก เพื่อมาต่อกรกับอำนาจของไทเฮา ทว่าเมื่อถึงวันที่ 1 ส.ค. กวงซี่ว์มีรับสั่งลับให้หยวนซื่อข่ายนำกำลังกำจัดซูสีไทเฮา ทว่าหยวน ข่ายกลับเป็นพวกนกสองหัว ทรยศต่อกลุ่มปฏิรูป ช่วยเหลือซูสีไทเฮาในการทำรัฐประหาร และจับกุมตัวกวงซี่ว์ไปกักบริเวณไว้ที่อิ๋งไถ ยกเลิกกฎหมายที่ประกาศทั้งหมด ยกเว้นกฎหมายการตั้งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง สั่งให้จับกุมตัวแทน 6 คนของกลุ่มปฏิรูป หรือที่ในประวัติศาสตร์ขนานนามว่า “6 วิญญูชนแห่งเหตุการณ์อู้ซีว์” ไปประหารประจานในตลาดกลางกรุงปักกิ่ง
ภายหลังความปราชัยครั้งนี้ จีนจึงต้องขอเจรจาสงบศึก โดยส่งหลี่หงจางเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อลงนามในสนธิสัญญาชิโมโนเซกิ ที่จีนต้องรับรองการปกครองตนเองของเกาหลี หรืออีกนัยหนึ่งก็คือยอมรับการปกครองของญี่ปุ่นเหนือเกาหลี อีกทั้งยกคาบสมุทรเหลียวตง ไต้หวัน หมู่เกาะเผิงหู (เพสคาดอเรส) ให้กับญี่ปุ่น อีกทั้งชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามเป็นเงิน 230 ล้านตำลึง เปิดเมืองท่าซาซื่อ ,ฉงชิ่ง,ซูโจว และหังโจวเป็นเมืองท่าพาณิชย์ อีกทั้งเมืองท่าของจีนยังจะต้องอนุญาตให้ญี่ปุ่นเข้ามาดำเนินการค้าขาย ประกอบอุตสาหกรรม หัตกรรมตามท่าเรือได้

รัฐประหารอู้ซีว์ (戊戌政变)
 
หลังจากจบสงครามจีนญี่ปุ่น หรือที่เรียกตามชื่อปีว่าสงคราม “เจี๋ยอู่” จนจีนต้องลงนามในสัญญาชิโมโนเซกิแล้ว นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ระบบทุนนิยมของต่างชาติเริ่มรุกล้ำเข้ามาในจีนจนสร้าง ความกังวลพระทัยกับฮ่องเต้กวงซี่ว์ เป็นอย่างยิ่ง
กระทั่งปี ค.ศ. 1898 หรือในรัชกาลฮ่องเต้กวงซี่ว์ปีที่ 24 หลังจากที่ได้รับฎีกาจากหยางเซินซิ่ว, สีว์จื้อจิ้งและคังโหย่วเหวย (康有为) ทำให้ทรงตัดสินพระทัยว่าจะต้องมีการปฏิรูปกฎหมาย ดังนั้นในวันที่ 28 เม.ย. ปีเดียวกันจึงมีรับสั่งให้คัง โหย่วเหวย เข้าเฝ้าเพื่อสอบถามแผนการและรายละเอียดที่เป็นรูปธรรม ซึ่งในภายหลังยังทรงให้สิทธิในการถวายฎีกาโดยตรงกับคัง โหย่วเหวยอีกด้วย
 
ขบวนการอี้เหอถวน – ศึกพันธมิตรแปดชาติ
กลุ่มอี้เหอถวนถือกำเนิดมาจากสำนักมวยอี้เหอในอำเภอชิงผิง มณฑลซันตง ในสมัยนั้น กลุ่มชาวต่างชาติที่สามารถเข้าถึงแผ่นดินชั้นในของจีนได้จะมีแต่กลุ่ม มิชชันนารี และผู้เผยแพร่ศาสนา ซึ่งนับวันจะยิ่งแผ่ขยายกว้างขวางมากขึ้นเรื่อยๆ บวกกับปัญหาความขัดแย้งทางความคิดและอุดมการณ์ ซึ่งบรรดผู้เข้ามาสอนศาสนาชาวต่างชาติได้สอนมิให้นับถือกราบไหว้บุพการีและ กษัตริย์ ทำให้บรรดาสตรีที่เข้านับถือศาสนาก็จะถูกมองเป็นพวกนอกรีตไปด้วย ความไม่พอใจในชาวต่างชาติหลายๆประการ ได้ผลักดันให้สำนักมวยอี้เหอ ได้ลุกฮือขึ้นในการทำลายโบสถ์ และต่อต้านศาสนาชาวต่างชาติ ในปีค.ส. 1898 และแผ่นขยายตัวอออกไปอย่างรวดเร็ว
ทว่าหากขบวนการอี้เหอถวนเป็นเพียงกลุ่มกำลังที่ระบายความไม่พอใจของประชาชน ก็คงไม่จะสามารถก่อความเสียหายอะไรได้มากนัก ทว่าในภายหลังขบวนการอี้เหอถวนกลับกลายเข้ามาเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการ เมือง จึงทำให้เรื่องราวบานปลายยิ่งขึ้น
ในเวลานั้นประจวบกับเป็นช่วงเวลาแห่งความล้มเหลวของการปฏิรูปปีอู้ซีว์ ในเวลานั้นแท้จริงแล้วพระนางซูสีไทเฮาทรงไม่พอพระทัยถึงขั้นที่จะตั้ง ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ทว่าติดขัดที่บรรดาทูตานุทูตจากนานาประเทศกลับชื่นชอบในความเปิดกว้างของกวง ซี่ว์ จึงได้รวมตัวกันคัดค้าน ทำให้ซูสีไทเฮาได้แต่กักตัวพระองค์เองไว้ ในเวลานั้นตวนอ๋อง ได้เข้ามาทูลเสนอว่าขณะนี้มีกลุ่มอี้เหอถวน ที่มีความสามารถฟันแทงไม่เข้า ไม่เกรงกลัวต่อปืนหรือปืนใหญ่ของต่างชาติ ทำให้มีขุนนางหลายคนที่สนับสนุนให้ใช้กลุ่มอี้เหอถวนเพื่อมาต่อกรกับต่าง ชาติ การเข่นฆ่าชาวต่างชาติและชาวจีนที่นับถือศาสนาได้กระจายไปทั่ว มีชาวต่างชาติที่ถูกฆ่า 241 คน และชาวจีนที่นับถือศาสนาต่างชาติอีกกว่า 23,000 คนในฤดูร้อนของปีเดียว
 
ต่อมาทางการจีนได้ประกาศยอมรับกลุ่มอี้เหอถวน ให้เป็นองค์กรที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยกลุ่มอี้เหอถวนเองก็ประกาศว่าจะประคับประคองราชวงศ์ชิง และกำจัดต่างชาติ เมื่อถึงปีค.ศ. 1900 ซูสีไทเฮาได้ตัดสินใจประกาศสงครามกับต่างชาติ และรับสั่งให้ทหารร่วมกับกลุ่มอี้เหอถวนบุกโจมตีสถานทูตนานาชาติในปักกิ่ง ทำให้อังกฤษ สหรัฐฯ เยอรมนี ฝรั่งเศส รัสเซีย ญี่ปุ่น อิตาลี และออสเตรียได้รวมกำลังเป็นพันธมิตรแปดชาติ เข้าตอบโต้จีน กลุ่มขบวนการอี้เหอถวนที่เคยบอกว่าฟันแทงไม่เข้านั้น เมื่อทหารพันธมิตรมาถึง กลับยังไม่รู้ตัว ยังทำการเผาโบสถ์ เข่นฆ่านักเผยแพร่ศาสนาอยู่ สุดท้ายจึงถูกทหารพันธมิตรแปดชาติทำลายจนราบคาบ
ฝ่ายพระนางซูสีไทเฮาเมื่อทรงทราบว่าทหารต่างชาติบุกถึงปักกิ่ง จึงทรงนำตัวฮ่องเต้กวงซี่ว์ ราชนิกูล ขันที และขุนนางจำนวนหนึ่งปลอมตัวเป็นสามัญชนแล้วเดินทางหลบหนีไปยังซีอัน โดยมอบอำนาจเต็มให้กับหลี่หงจาง ในการเจรจากับกองทัพพันธมิตร เพื่อขอสงบศึกกับประเทศพันธมิตร รัฐบาลชิงจึงทรยศกลุ่มอี้เหอถวน ด้วยการประกาศว่ากลุ่มนี้เป็นสำนักโจร และให้ทหารชิงร่วมมือกับกองทัพพันธมิตรเข่นฆ่า โดยก่อนที่จะเจรจาลุล่วงก็มีการเนรเทศตวนอ๋อง และประหารแกนนำทั้งหลายของขบวนการอี้เหอถวน เพื่อเป็นแพะรับบาปให้ต่างชาติได้ดู
 
8 ทัพพันธมิตรรุกสู่ปักกิ่ง
ในปีต่อมาหลังพันธมิตรแปดชาติได้ยึดครองปักกิ่ง ในที่สุดก็มีการลงนามในสนธิสัญญาซินโฉ่ว กับ 8 ประเทศพันธมิตรและอีก 3 ประเทศได้แก่เนเธอร์แลนด์ สเปน เบลเยียม โดยมีสาระสำคัญคือจีนจะต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามเป็นเงินทั้งสิ้น 450 ล้านตำลึง ซึ่งเป็นจำนวนที่เท่ากับประชากรจีนในขณะนั้น โดยให้แบ่งจ่ายพร้อมดอกเบี้ย ซึ่งรวมแล้วเกือบ 1,000 ล้านตำลึง และชำระให้หมดสิ้นภายในปีค.ศ. 1940 นอกจากนั้นยังให้รื้อป้อมปืนใหญ่ที่ต้ากู และตลอดเส้นทางระหว่างปักกิ่งถึงเทียนจิน พร้อมให้ทหารตะวันตกหลายประเทศเข้ามาตั้งที่ปักกิ่ง เทียนจิน และซันไห่กวน และเงื่อนไขปลีกย่อยอีกมากมายอาทิ จีนจะต้องหยุดการนำเข้าอาวุธสงคราม 2 ปี ส่งขุนนางใหญ่ไปเพื่อทำการขอขมาที่ญี่ปุ่นในกรณีทำให้ทูตญี่ปุ่นต้องเสีย ชีวิต และในอนาคตจีนจะต้องลงโทษบุคคลหรือองค์กรที่ต่อต้านต่างชาติเป็นต้น และภายหลังลงนามแล้ว ซูสีไทเฮา ฮ่องเต้กวงซี่ว์และคณะที่ลี้ภัยจึงได้เดินทางกลับมายังปักกิ่งในปีค.ศ. 1902
 
ไม่ว่ากบฏอี้เหอถวน หรือกลุ่มที่ถูกเรียกว่ากบฏนักมวยนี้จะมีบทลงเอยที่เป็นโศกนาฏกรรมเพียงใด แต่ฌอง เชนโนซ์ (jean Chesneaux) นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศสก็ได้มองว่า “ในโลกสมัยศตวรรษที่ 20 นั้น ขบวนการอี้เหอถวนถือเป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมเป็นขบวน การแรก พวกเขาได้แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของลัทธิชาตินิยมของจีน และเมื่อเผชิญหน้ากับการต่อสู้อันทรหดและเหี้ยมหาญของพวกเขา มหาอำนาจตะวันตกทั้งหลายก็ต้องยอมละทิ้งความตั้งใจเดิมที่จะแบ่งแผ่นดิน จีนออกเป็นเสี่ยงๆ” 

ปฏิวัติสาธารณรัฐ

ตั้งแต่สงครามฝิ่น เรื่อยมาจนถึงหลังแปดชาติพันธมิตรเข้ารุกรานจีน ได้ทำให้สถานภาพของประเทศจีนในขณะนั้นมีสภาพกึ่งเมืองขึ้น รัฐบาลจีนก้าวเข้าสู่สภาพฟอนเฟะและไร้สมรรถภาพ จนทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนต่างทุกข์ร้อนไปทั่วทุกหัวระแหง ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ซุนจงซัน (孙中山) หรือซุนยัตเซ็น (孙逸仙) ก็ได้ลุกขึ้นมาแล้วเลือกเส้นทางที่จะผลักดันการปฏิวัติ เพื่อล้มล้างอำนาจของราชวงศ์ชิง

ซุนจงซัน ถือกำเนิดในมณฑลกวางตุ้ง และได้เดินทางติดตามมารดาไปยังฮาวาย ทำให้ได้เห็นความยอดเยี่ยมของเรือกลไฟ และความยิ่งใหญ่ของมหาสมุทร การเดินทางครั้งนั้นทำให้ซุนได้รับการศึกษาสมัยใหม่ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ ประวัติศาสตร์อังกฤษ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ภายหลังได้เดินทางไปยังฮ่องกง และได้เข้าศึกษาจนจบวิชาการแพทย์ จากนั้นก็ได้เปิดรักษาคนในมาเก๊า และกวางตุ้ง

ในระยะแรกซุนเองก็ไม่ได้กล่าวถึงการปฏิวัติ กระทั่งในปี ค.ศ. 1894 ได้ทดลองส่งหนังสือให้กับหลี่หงจาง ซึ่งในนั้นได้มีการเสนอรูปแบบการปฏิรูปในหลายประการ ทว่าหนังสือดังกล่าวถูกหลี่หงจางปฏิเสธ ด้วยความผิดหวัง ทำให้ซุนได้ไปจัดตั้งสมาคมซิงจงที่ฮ่องกง ผลักดัน “การขับไล่อนารยชน ฟื้นฟูประเทศจีน สร้างรัฐบาลแห่งมหาชนขึ้น”

ในปี ค.ศ. 1905 ซึ่งตรงกับรัชกาลของฮ่องเต้กวงซี่ว์ปีที่ 30 มีการจัดประชุมขึ้นที่โตเกียว และในที่ประชุมนั้นซุนได้เสนอให้มีการจัดตั้งสมาพันธ์เพื่อการปฏิวัติขึ้น โดยหลังจากการปรึกษาหารือ ในที่สุดสมาพันธ์ถงเหมิงก็ได้ถือกำเนิดขึ้น
 
ซุนยัตเซ็น
นอกจากนั้นซุนยังได้เสนอหลัก 3 ประการแห่งประชาชน หรือที่เราเรียกกันว่า ลัทธิไตรราษฎร์ (三民主义)ซึ่ง มีหลักการสำคัญได้แก่ ประชาชาติ หรือ การล้มล้างอำนาจการปกครองของราชวงศ์แมนจู ให้ทุกชนชาติในจีนมีสิทธิอันเท่าเทียมกัน หลักประชาสิทธิ คือให้ประชาชนมีสิทธิ มีอำนาจตรงในการปกครองตนเอง และหลักประชาชีพ คือให้มีความเสมอภาคในกรรมสิทธิ์ที่ดินและทางสังคม
 
การถือกำเนิดสมาพันธ์ถงเหมิง ที่ได้จับอาวุธลุกขึ้นต่อสู้กับราชสำนัก ถือเป็นการสั่นคลอนฐานะผู้ปกครองอย่างราชสำนักชิงเป็นอย่างยิ่ง จนกระทั่งเดือน เม.ย.ปี ค.ศ. 1911ที่มีการลุกฮือขึ้นที่เนินดอกไม้เหลือง (黄花岗)ในกวางเจา มีบุคคลสำคัญและสมาชิกสมาพันธ์ล้มตายเป็นจำนวนมาก มีการเก็บรวบรวมศพ 72 ศพไปฝังรวมไว้ โดยในประวัติศาสตร์ได้เรียกขานเป็น 72 วีรบุรุษ ณ เนินดอกไม้เหลือง ( ภายหลังได้มีการศึกษาเพิ่มเติมและพบว่าจำนวนวีรชนนั้นมีมากถึง 86 ศพ )  อย่างไรก็ตามแม้ว่าการลุกฮือครั้งนี้จะประสบความล้มเหลว แต่เลือดเนื้อและชีวิตของวีรชนเหล่านี้ก็ได้ปลุกกระแสให้มีการล้มล้างราชวงศ์ชิงที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น
 
ฮ่องเต้องค์สุดท้าย - อวสานราชวงศ์ชิง
 
ระหว่างนั้น ในปีค.ศ.1908 ตรงกับรัชกาลฮ่องเต้กวงซี่ว์ปีที่ 34 ฮ่องเต้กวงซี่ว์ได้เปิดประชาวรอย่างหนัก จนในเดือน ต.ค.ราชสำนักชิงต้องมีราชโองการแต่งตั้งให้ไจ้เฟิง เป็นผู้สำเร็จราชการ กระทั่งถึงวันที่ 21 เดือนต.ค. ในที่สุดฮ่องเต้กวงซี่ว์ก็เสด็จสวรรคต

พระนางซูสีไทเฮาได้มีราชโองการแต่งตั้งบุตรของไจ้เฟิงนามอ้ายซินเจี๋ยว์หลอ ผู่อี๋ (溥仪) หรือปูยีที่มีพระชนม์พรรษาเพียง 3 ปีขึ้นครองราชย์ มีชื่อรัชการว่าเซวียนถ่ง (宣统) แต่เนื่องจากที่พระองค์เป็นฮ่องเต้คนสุดท้ายในยุคราชวงศ์ของจีน ดังนั้นจึงมักถูกขนานนามว่าฮ่องเต้องค์สุดท้าย หรือจักรพรรดิองค์สุดท้าย ในขณะที่ซูสีไทเฮาเอง ก็ได้สวรรคตในเวลาเพียงไม่กี่วันหลังมีราชโองการแต่งตั้งผู่อี๋

ฮ่องเต้พระองค์สุดท้ายของจีน
ในช่วงเวลาที่ผู่อี๋ได้ครองราชย์ไม่ถึง 3 ปี หลังยุทธการเนินดอกไม้เหลืองแล้ว กลุ่มผู้นำสมาพันธ์ถงเหมิงได้ตัดสินใจย้ายศูนย์กลางการปฏิวัติไปยังเขตลุ่มน้ำแยงซีเกียง ในวันที่ 10 ต.ค. ได้เกิดสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงขึ้นที่อู่ชัง ทำให้กองทัพปฏิวัติที่นั่นจำเป็นต้องลุกขึ้นก่อการก่อนเวลาที่กำหนด บุกเข้ายึดเมืองอู่ชัง จากนั้นในวันถัดมากลุ่มปฏิวัติในฮั่นหยาง และฮั่นโข่วที่ได้ข่าวก็ได้ลุกขึ้นยึดเมืองทั้งสอง จนกระทั่งกลุ่มปฏิวัติสามารถควบคุมเมืองทั้งสามในอู่ฮั่นได้จนหมดสิ้น

การลุกฮือที่ประสบความสำเร็จในอู่ชัง ได้ปลุกกระแสการล้มล้างราชวงศ์ชิงให้ยิ่งขว้างขวางออกไป และส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ของราชสำนักต้าชิงเป็นอย่างยิ่ง จนกระทั่งในลำดับต่อมา ได้มีการจัดตั้งรัฐบาลทหารหูเป่ย และประกาศเอกราชขึ้น หลังจากนั้นหูหนัน ส่านซี ซันซี หยุนหนัน เจียงซี กุ้ยโจว เจียงซู กว่างซี อันฮุย ฝูเจี้ยน กว่างตง ซื่อชวนก็ได้ทยอยกันประกาศเองราช ล้มล้างราชวงศ์ชิง ซึ่งประวัติศาสตร์ได้เรียกการปฏิวัตินี้ว่าการปฏิวัติซินไฮ่ (辛亥革命) ตามปีที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น

เมื่อถึงเดือน ม.ค. ปีค.ศ. 1912 สมาคมถงเหมิงได้ประชุมหารือกันที่นานกิง และจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้น และตั้งชื่อประเทศเป็นสาธารณรัฐจีน (中华民国) จากนั้นในเดือนถัดมาก็ได้บีบให้ฮ่องเต้ของราชวงศ์ชิงลงจากตำแหน่ง นับว่าเป็นการเปิดศักราชหน้าใหม่ของแผ่นดินมังกร และถือเป็นจุดจบของราชวงศ์ชิงที่มีอายุกว่า 200 ปี และเป็นการปิดฉากการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชกว่า 2,000 ปีของจีนลง

ส่วนผู่อี๋ หรือปูยี หลังจากที่สละราชสมบัติแล้ว ในปีค.ศ. 1917 ภายใต้ความพยายามของจางซวิน (张勋) ที่ผลักดันทำการปฏิวัติและประกาศฟื้นคืนราชวงศ์ชิงขึ้นมาใหม่ โดยยกให้ผู่อี๋กลับมาเป็นฮ่องเต้อีกครั้ง ทว่าเหตุการณ์ดังกล่าว ได้ถูกการรวมตัวต่อต้านจากทุกฝ่าย ท่ามกลางสถานการณ์และแรงกดดัน ทำให้อีก 12 วันให้หลังก็จำต้องประกาศยอมแพ้ และทำให้ผู่อี๋ต้องหลุดจากราชบัลลังก์อีกครั้ง

เมื่อมาถึงปีค.ศ. 1924 กองทัพของเฝิงอี้ว์เสียง (冯玉祥) ได้ปิดล้อมพระราชวังต้องห้าม พร้อมหันปากกระบอกปืนใหญ่เข้ามาในวัง แล้วบังคับให้ผู่อี๋ลงนามยกเลิกการเรียกเป็นฮ่องเต้ และกำหนดเวลาให้ออกไปภายในเวลา 2 วัน จากนั้นจึงได้อาศัยความสัมพันธ์ที่มีกับชาวญี่ปุ่น ช่วยให้ปลอมตัวเป็นพ่อค้า แล้วหลบไปพักอยู่ที่จางหยวน กับจิ้งหยวน

ปีค.ศ. 1931 หลังจากที่ญี่ปุ่นได้บุกยึดพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ได้ตั้งประเทศแมนจูกั๋ว (满洲国) ขึ้น จากนั้นก็ได้ลอบนำตัวผู่อี๋ไปยังแมนจู โดยผู่อี๋ยอมให้ความร่วมมือ และรับการแต่งตั้งให้เป็นฮ่องเต้ อย่างเป็นทางการในปีค.ศ. 1934

กระทั่งญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศแมนจูกั๋วก็ถูกล้มล้างไป และในปีค.ศ. 1945 ขณะที่ทาหารญี่ปุ่นได้นำตัวผู่อี๋มายังสนามบินเสิ่นหยางเพื่อเดินทางกลับ ญี่ปุ่น ก็ถูกทหารของรัสเซียจับตัวไป แต่ก็ได้รับการดูแลจากทางรัสเซียเป็นอย่างดี จนถึงกับเคยเขียนหนังสือแสดงความจำนงต้องการอยู่ในรัสเซียตลอดชีวิตอยู่หลาย ครั้ง

ปีค.ศ. 1950 ผู่อี๋และนักโทษจากสงครามแมนจูกั๋วถูกส่งตัวกลับมาให้กลับรัฐบาลจีน และถูกกุมขังอยู่ร่วมกับนักโทษอื่นๆในสถานควบคุมที่ฮาร์บิน ใช้ชีวิตในฐานะนักโทษรหัสหมายเลข 981 เป็นเวลาเกือบ 10 ปี กระทั่งได้รับการนิรโทษกรรมในวันที่ 4 ธ.ค. 1959 กลายเป็นหนึ่งในประชาชนธรรมดาคนหนึ่งของจีน จนกระทั่งเสียชีวิตที่ปักกิ่งในปีค.ศ. 1967 ในขณะที่มีอายุรวม 61 ปี จึงถือเป็นอันจบสิ้นของฮ่องเต้องค์สุดท้ายแห่งแผ่นดินมังกร