ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ยึดระบบของกฎหมายตามรูปแบบของระบบกฎหมายแบบโรมาโน-เยอรมันนิค (Romano Germanic) หรือที่รู้จักกันนามของ Civil Law กฎหมายรูปแบบนี้ คือ มีลักษณะพิเศษ คือมีการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร
ประวัติความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส
เดิมทีประเทศฝรั่งเศสปกครองในระบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ประวัติศาสตร์ของรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสเริ่มต้นจากที่ฝรั่งเศสทำสงครามกับอังกฤษ ในปี (ค.ศ 1396 – 1454) หรือที่เรียกว่า สงครามร้อยปี ( Hundred Years Wars)สงครามร้อยปี ( Hundred Years Wars) |
สงครามร้อยปี ( Hundred Years Wars) ทำให้ดินแดนฝรั่งเศสที่เคยเป็นของอังกฤษกลับมาเป็นของฝรั่งเศสอย่างแท้จริง ผลของสงครามร้อยปีทำให้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศสมีมากขึ้น ขุนนางฝรั่งเศสจึงมอบความไว้วางใจในด้านต่างๆ เช่น การเก็บภาษี กษัตริย์ฝรั่งเศสไม่ต้องขออนุมัติจากสภาฐานันดร (Estate General) ไม่มีการเรียกร้องให้กษัตริย์เปิดการประชุมสภานับเป็นเวลากว่าร้อยปี
สภาวะการณ์เช่นนี้ทำให้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์เพิ่มสูงยิ่งขึ้น จนสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่ง ราชวงศ์บูรบง สถาบันกษัตริย์ของฝรั่งเศสก้าวเข้าสู่ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชอย่างแท้จริง โดยคำกล่าวของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่ว่า “I am the state” สภาพสมบูรณาญาสิทธิราชในฝรั่งเศสส่งผลให้เกิดความขัดแย้งในยุคต่อมาอย่างรุนแรง เมื่อถึงสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เกิดการปฏิวัติใหญ่ในเดือน สิงหาคม 1789 ภายหลังการปฏิวิติใหญ่ประเทศฝรั่งเศสได้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นมา
การปฏิวัติใหญ่ในเดือน สิงหาคม 1789 |
ฝรั่งเศสได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งสิทธิเสรีภาพ หลังจากนั้นได้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญอีกหลายฉบับซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง และในการเปลี่ยนแปลงการปกครองแต่ละครั้งก็จะมีรัฐธรรมนูญใหม่เกิดขึ้น จนกระทั่งปัจจุบัน รัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ คือ รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณฝรั่งเศส ปี ค.ศ 1958 โดยจัดทำขึ้นในสมัย ประธานาธิบดี ชาล์ล เดอ โกล
นายพล ชาร์ลส์ เดอโกลล์ (General Charles De Gaulle) |
เนื้อหาสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศส คือ การบัญญัติเกี่ยวกับโครงสร้างอำนาจ และการปกครองของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งสามารถกล่าวโดยสังเขปได้ดังต่อไปนี้
โครงสร้างอำนาจและการปกครองในรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส
ในรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสมีบทบัญญัติทั้งสิ้น 89 มาตรา โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 17 หมวด ได้มีการกล่าวถึงโครงสร้างการปกครองของประเทศฝรั่งเศสไว้ดังต่อไปนี้
1. รูปแบบของรัฐและรูปแบบการปกครอง
ประเทศฝรั่งเศสปกครองในรูปแบบของสาธารณรัฐ มีลักษณะเป็นรัฐเดี่ยวไม่สามารถแบ่งแยกได้ มีภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาประจำชาติ มีเพลง ลา มาร์ซัยแยส เป็นเพลงประจำชาติ มีธงสามสี คือ สีน้ำเงิน สีขาวและสีแดงเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติ คติของรัฐ คือ เสรีภาพ เสมอภาคและภราดรภาพ นอกจากนี้ฝรั่งเศสยังมีหลักการของชาติ ซึ่งได้แก่ รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชน
ในส่วนของรูปแบบการปกครองของประเทศฝรั่งเศสนั้น มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี กล่าวคือ มีประธานาธิบดีเป็นประมุขหรือผู้นำของสาธารณรัฐ และมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายรัฐบาล ซึ่งนายกรัฐมนตรีมาจากการแต่งตั้งของประธานาธิบดี โดยการปกครองของฝรั่งเศสนั้นเน้นตามคติของชาติ คือ เสรีภาพ เสมอภาคและภราดรภาพ เป็นหลัก สาธารณรัฐรับรองความเสมอภาคของประชาชนตามกฎหมายโดยไม่แบ่งแยกแหล่งกำเนิด เชื้อชาติ และศาสนา และเคารพในความเชื่อของทุกนิกาย โดยหลักการปกครองของประเทศฝรั่งเศส ได้ยึดหลักที่ว่าด้วยอำนาจอธิปไตย คือ อำำนาจอธิปไตยของชาติเป็นของประชาชน ซึ่งเป็นการผสมผสานกันระหว่างทฤษฎีว่าด้วยอำนาจอธิปไตยของ ซีเอเยส ซึ่งกล่าวว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของชาติ และทฤษฎีของ ฌอง ฌาคส์ รุสโซ ที่ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน
2. สถาบันการเมืองที่ใช้อำนาจอธิปไตย
สถาบันที่ใช้อำนาจอธิปไตย สามารถแบ่งได้ออกเป็น 3 สถาบัน คือ สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันบริหาร และสถาบันตุลาการ ซึ่งรายละเอียดแต่ละสถาบันมีดังต่อไปนี้
2.1สถาบันนิติบัญญัติ
สถาบันนิติบัญญัติหรือรัฐสภาของฝรั่งเศส ตามรัฐธรรมนูญของประเทศได้บัญญัติไว้ว่า รัฐสภาของฝรั่งเศสเป็นแบบสภาคู่ ซึ่งประกอบด้วย 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฏรซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน และวุฒิสภา ซึ่งเป็นตัวแทนขององค์กรปกครองท้องถิ่นในสาธารณรัฐได้มาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม ทั้งนี้ประชาชนชาวฝรั่งเศสที่อยู่นอกราชอาณาจักรต้องมีผู้แทนในวุฒิสภาด้วย
ในส่วนของสภาผู้แทนราษฎร นั้นประกอบด้วยสมาชิกจำนวนทั้งสิ้น 570 คนและดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี ส่วนวุฒิสภามีสมาชิกทั้งสิ้น 304 คน โดยดำรงตำแหน่งได้คราวละ 9 ปี
2.2สถาบันบริหาร
สถาบันบริหารหรือรัฐบาลหรือรัฐธรรมนูญกำหนดว่า อำนาจหน้าที่ของรัฐบาลเป็นการแบ่งกันระหว่างประธานาธิบดีในฐานะผู้นำประเทศของนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล เรียกว่า ทวิภาคของฝ่ายบริหารซึ่งหมายถึงการที่ฝ่ายบริหารมีผู้มีอำนาจสั่งการ 2 คนด้วยกันและทั้ง 2 คนต้องบริหารประเทศด้วยกันภายใต้กฎเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
ประธานาธิบดี
ประธานาธิบดีแห่งรัฐซึ่งเป็นตำแหน่งประมุขแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน โดยมีวาระในการดำรงตำแหน่ง 7 ปี
หน้าที่ของประธานาธิบดี
1. ดูแลให้มีการเคารพรัฐธรรมนูญและดูแลการดำเนินการสถาบันการเมืองให้เป็นไปโดยปกติและต่อเนื่อง รวมถึงความเป็นอิสระของชาติ บูรณภาพแห่งแผ่นดิน และการเคารพสนธิสัญญาต่างๆ
2.เป็นประธานในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
3.เป็นผู้ประกาศใช้กฎหมายที่ผ่านการพิจารณาจากรัฐสภาแล้ว และสามารถขอให้รัฐสภาพิจารณาร่างกฎหมายใหม่ โดยที่รัฐสภาจะไม่สามารถปฎิเสธคำขอของประธานาธิบดีได้
4.เป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีรวมถึงการให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง นอกจากนี้ยังเป็นผู้แต่งตั้งข้าราชการฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร ได้แก่สภาแห่งรัฐ ผู้ที่ได้รับอิสริยาภรณ์ขั้นสูงสุด เอกอัครราชทูต ผู้แทนของรัฐ ผู้พิพากษาศาลสูงสุด ผู้ว่าการจังหวัด นายทหารระดับนายพล ฯลฯ
5.เป็นผู้กำหนดให้มีการออกเสียงแสดงประชามติต่อร่างกฏหมายที่เกี่ยวกับการจัดระเบียบสถาบันการเมืองของรัฐ การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับนโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือบริการสาธารณะต่างๆ
6.ประกาศให้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรหลังจากปรึกษากับนายกรัฐมนตรีและสภาทั้ง 2 แล้ว
7.เป็นผู้ลงนามในรัฐกำหนดและรัฐกฤษฎีกาที่ผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
8.เป็นผู้แต่งตั้งเอกอัครรัฐทูตและผู้แทนพิเศษ และรับสารแต่งตั้งเอกอัครรัฐทูต และผู้แทนพิเศษของรัฐอื่นที่มาประจำที่สาธารณรัฐฝรั่งเศส
9.มีอำนาจในการดำเนินมาตรการฉุกเฉินในเรื่องเกี่ยวกับพันธกรณีระหว่างประเทศที่คุกคามอย่างร้ายแรง
ขั้นตอนการเลือกตั้งประธานาธิบดี
1.ประกาศรายชื่อผู้เข้าชิงผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อสาธารณชน
2.เลือกตั้งประธานาธิบดีรอบแรก
3.ประกาศผลการเลือกตั้งถ้าผู้สมัครได้รับคะแนนเสียงเด็ดขาด สามารถเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีได้ทันที ถ้าได้รับคะแนนเสียงไม่เด็ดขาดจะต้องมีการจัดการเลือกตั้งรอบที่ 2 ( เฉพาะ 2 คนที่ได้รับคะแนนสูงสุดในรอบแรก ) โดยปกติแล้วการเลือกตั้งประธานาธิบดีจะจัดให้มีการเลือกตั้งก่อนสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีคนเก่า 20-35 วัน
รัฐบาล
ตามรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสฉบับปัจจุบัน รัฐบาลซึ่งนำโดยนายกรัฐมนตรีทรงไว้ซึ่งอำนาจบังคับบัญชาหน่วยงานของรัฐและกองทัพ เป็นผู้กำหนดแนวทางการดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายของชาติ รับผิดชอบในการป้องกันชาติ การบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายรวมถึงการใช้อำนาจในการตรากฎหมายของฝ่ายบริหารและการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนและข้าราชการทหาร
ในกรณีจำเป็น นายกรัฐมนตรีสามารถปฎิบัติหน้าที่บางอย่างแทนประธานาธิบดีได้ เช่น การเป็นประธานในที่ประชุมของสภากลาโหม และคณะกรรมการสูงสุดในการป้องกันประเทศ หรือการเป็นประธานที่ระชุมคณะรัฐมนตรี และรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสได้ระบุว่าผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาล และเป็นสมาชิกรัฐสภาด้วยจะต้องลาออกจากตำแหน่งสมาชิกรัฐสภา
สถาบันตุลาการ
สถาบันตุลาการนั้นเป็นอิสระจาก 2 องค์กรแรก โดยรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสได้กำหนดไว้ว่า คณะกรรมการตุลาการแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
1) ส่วนที่มีอำนาจในเรื่องผู้พิพากษาที่พิจารณาพิพากษาคดี โดยคณะกรรมการในส่วนนี้มีหน้าที่ เสนอการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลฎีกา ประธานศาลอุธรณ์ และประธานศาลชั้นต้น นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งผู้พิพากษาที่พิจารณาพิพากษาคดี รวมถึงการเป็นคณะกรรมการพิจารณาความผิดทางวินัยของผู้พิพากษาที่ทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดี โดยให้ประธานศาลฎีกาเป็นคณะกรรมการ
2) ส่วนที่มีอำนาจในเรื่องผู้พิพากษาที่ทำหน้าที่พนักงานอัยการ มีหน้าที่พิจารณาให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้พิพากษาที่ทำหน้าที่พนักงานอัยการ ทำหน้าที่ให้ความเห็นชอบเกี่ยวกับการพิจารณาความผิดทางวินัยของผู้พิพากษาที่ทำหน้าที่พนักงานอัยการ โดยให้ประธานผู้พิพากษาที่ทำหน้าที่พนักงานอัยการในศาลฎีกาทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการ
คณะกรรมการตุลาการแต่ละชุดจะมี ประธานาธิบดีแห่งรัฐเป็นคณะกรรมการตุลาการ และมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นรองประธานคณะกรรมการตุลาการ นอกจากนี้ยังมีคณะกรรมการตุลาการอีก 12 คน
3. ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตย
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรที่ใช้อำนาจนั้นที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันนิติบัญญัติหรือรัฐสภา กับฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลเนื่องจากในการดำเนินงานเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินนั้นองค์กรทั้ง 2 ต้องพึ่งพาอาศัยกันอย่างใกล้ชิด ส่วนสถาบันตุลาการนั้นมีการบริงานค่อนข้างเป็นอิสระเพื่อความบริสุทธิ์ยุติธรรม ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหารตามรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสมีดังต่อไปนี้
ความสัมพันธ์ในด้านอำนาจหน้าที่
- รัฐสภาเป็นผู้ตรารัฐบัญญัติหรือกฎหมายต่างๆ
- รัฐสภาเป็นผู้ให้ความเห็นชอบในการประกาศสงคราม
- การประกาศกฎอัยการศึกจะต้องกระทำโดยรัฐกฤษฎีกาที่ตราโดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีและการขยายเวลาการใช้กฎอัยการศึกเกินกว่า 12 วันจะต้องได้รับการยินยอมจากรัฐสภา
- เรื่องใดที่ไม่อยู่ในขอบเขตของการตรารัฐบัญญัติ ให้ถือว่าอยู่ในอำนาจการตรากฎหมายของฝ่ายบริหาร
ความสัมพันธ์ในการดำเนินงาน
- รัฐบาลสามารถขออนุญาติรัฐสภาในการตรารัฐกำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนดในเรื่องซึ่งโดยปกติแล้วเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจการตรารัฐบัญญัติของรัฐสภาได้
- นายกรัฐมนตรีและสมาชิกรัฐสภามีสิทธิเสนอร่างรัฐบัญญัติ โดยผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีภายหลังจากที่ได้ส่งสภาแห่งรัฐตรวจพิจารณาแล้วจะต้องนำเสนอต่อสภาใดสภาหนึ่ง เช่น ร่างรัฐบัญญัติเกี่ยวกับงบประมาณจะต้องเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน
- ร่างกฎหมายที่เสนอใหม่หรือร่างแก้ไขกฎหมายที่สมาชิกสภาเสนอจะรับพิจารณาไม่ได้ หากผลของกฎหมายนั้นเป็นผลร้ายทำให้รายได้ของรัฐลดลงหรือมีผลทำให้ค่าใช้จ่ายของรัฐเพิ่มขึ้น
- ในการพิจารณาร่างกฎหมาย ถ้าร่างกฎหมายนั้นไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจการตรารัฐบัญญัติ รัฐบาลอาจเสนอไม่ให้รัฐสภารับร่างดังกล่าวไว้พิจารณาได้
- การพิจารณาร่างกฎหมายที่รัฐบาลเสนอ ให้สภาที่รับร่างไว้ทำการพิจารณาจากร่างกฎหมายที่รัฐบาลเสนอ และให้สภาที่ได้รับร่างกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาจากอีกสภาหนึ่งมาแล้วพิจารณาร่างกฎหมายตามร่างกฎหมายที่ได้รับมา
- เมื่อรัฐบาลหรือสภารับร่างกฎหมายนั้นไว้พิจารณาร้องขอ ให้ส่งร่างกฎหมายที่รัฐบาลหรือสมาชิกรัฐสภาเสนอไปยังคณะกรรมาธิการวิสามัญที่ตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาต่อไป หากไม่มีการร้องขอ ให้ส่งร่างกฎหมายที่เสนอนั้นไปยังคณะกรรมาธิการสามัญซึ่งมีจำนวนไม่เกินสภาละ 6 คน เป็นผู้พิจารณา
- สมาชิกรัฐสภาและรัฐบาลมีสิทธิเสนอขอแปรญัตติ ภายหลังการเปิดอภิปรายรัฐบาลมีสิทธิคัดค้านมิให้มีการพิจารณาคำขอแปรญัตติหากมิให้ได้มีการเสนอคำขอแปรญัตตินั้นให้คณะกรรมาธิการพิจารณาก่อน
- ร่างกฎหมายที่รัฐบาลหรือสมาชิกรัฐสภาเสนอจะต้องได้รับการพิจารณาจากทั้ง 2 สภาต่อเนื่องกันไปเพื่อให้มีการอนุมัติร่างกฎหมายที่มีเนื้อความอย่างเดียวกัน
- กรณีที่ร่างกฎหมายที่รัฐบาลหรือรัฐสภาเสนอ สภาทั้ง 2 มีความเห็นไม่ตรงกัน จนเป็นเหตุให้ร่างกฎหมายไม่ได้รับความเห็นชอบ แต่รัฐบาลแจ้งว่ามีความจำเป็นเร่งด่วน นายกรัฐมนตรีอาจขอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการร่วมที่มีสมาชิกแต่ละสภาจำนวนเท่ากัน เพื่อทำหน้าที่พิจารณาเสนอบทบัญญัติของกฎหมายในส่วนที่ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ และเสนอไปยังสภาทั้ง 2 อีกครั้ง
- สภาที่ได้รับร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่รัฐบาลหรือสมาชิกรัฐสภาเสนอให้พิจารณา จะทำการพิจารณาและลงมติในร่างกฎหมายดังกล่าวได้ เมื่อพ้นระยะเวลา 15 วันนับแต่วันที่มีการเสนอร่างกฎหมายต่อสภาดังกล่าว ในกรณีที่สภาทั้ง 2 เห็นไม่ตรงกันจนเป็นเหตุให้ร่างกฎหมายไม่ได้รับความเห็นชอบ ให้นำบทบัญญัติในข้อที่แล้วมาบังคับใช้ ในกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะใช้อำนาจพิจารณายืนยันบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวเป็นองค์กรสุดท้าย มติยืนยันของสภาผู้แทนราษฎรจะต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร
- การพิจารณาเกี่ยวกับร่างกฎหมายเกี่ยวกับงบประมาณ ในกรณีที่สภาผู้แทนราษฎร ไม่เห็นชอบร่างกฎหมายในการพิจารณาครั้งแรกภายในกำหนดเวลา 40 วันนับจากวันที่ได้รับร่างกฎหมาย ให้รัฐบาลส่งร่างกฎหมายดังกล่าวให้วุฒิสภาเพื่อพิจารณาให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลา 15 วัน ในกรณีที่รัฐสภาไม่ให้ความเห็นชอบในร่างกฎหมายดังกล่าวภายในกำหนดเวลา 70 วันรัฐบาลอาจประกาศใช้ร่างกฎหมายนั้น โดยการตราเป็นรัฐกำหนดได้
- การจัดระเบียบวาระการประชุมของสภาทั้งสองจะต้องจัดลำดับโดยให้ความสำคัญต่อการพิจารณาร่างกฎหมายของรัฐบาลตามลำดับที่รัฐบาลกำหนดก่อน และจากนั้นจึงเป็นการพิจารณาร่างกฎหมายที่สมาชิกรัฐสภาเสนอและได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาล
- ภายหลังการที่แผนงานหรือนโยบายทางการเมืองในเรื่องหนึ่งเรื่องใดของรัฐบาลได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว นายกรัฐมนตรีอาจแถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อขอผูกพันความรับผิดชอบได้
- กรณีที่สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบในญัตติไม่ไว้วางใจหรือกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นชอบด้วยกับแผนงานหรือนโยบายทางการเมืองทั่วไปของรัฐบาล นายกรัฐมนตรีจะต้องยื่นใบลาออกของคณะรัฐมนตรีต่อประธานาธิบดี
4. องค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ
4.1 คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ
คณะกรรมการตุลาการรัฐธรรมนูญประกอบด้วยตุลาการจำนวน 9 คน มีวาระการดำรงตำแหน่ง 9 ปี และไม่อาจแต่งตั้งใหม่ได้ มีการเปลี่ยนแปลงตุลาการจำนวนหนึ่งในสามทุกๆ 3 ปี ประธานาธิบดีแห่งรัฐเป็นผู้แต่งตั้งตุลาการรัฐธรรมนูญ 3 คนและประธานวุฒิสภาแต่งตั้ง 3 คน นอกเหนือจากนี้แล้ว ผู้เคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งรัฐทุกคนเป็นตุลาการรัฐธรรมนูญตลอดชีพโดยตำแหน่งประธานคณะกรรมการได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ ผู้ที่ดำรงตำแหน่งตุลาการรัฐธรรมนูญไม่สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหรือสมาชิกรัฐสภาได้
อำนาจหน้าที่ของตุลาการรัฐธรรมนูญ
- คณะตุลาการรัฐธรรมนูญเป็นผู้ดูแลตรวจสอบความถูกต้องของการเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐและวิธีการออกเสียงประชามติ เป็นผู้ตรวจสอบข้อร้องเรียนรวมถึงประกาศผลการเลือกตั้งและประกาศผลการออกเสียงแสดงประชามติ ในกรณีที่มีการคัดค้านผลการเลือกตั้ง ให้ตุลาการรัฐธรรมนูญเป็นผู้พิจารณาชี้ขาดเกี่ยวกับความถูกต้องของการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา
- เป็นผู้วินิจฉัยว่าร่างกฎหมายและร่างข้อบังคับดังกล่าวสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ คำวินิจฉัยของคณะกรรมการรัฐธรรมนูญย่อมเป็นที่สุด มีผลผูกพันสถาบันทางการเมืองแห่งรัฐตลอดจนองค์กร เจ้าหน้าที่ทางบริหารและในทางตุลาการ บทบัญญัติที่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญย่อมไม่อาจประกาศใช้เป็นกฎหมายและไม่อาจมีผลได้
4.2 สภาเศรษฐกิจและสังคม
อำนาจหน้าที่ของสภาเศรษฐกิจและสังคม
- ให้ความเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐบัญญัติ ร่างรัฐกำหนดหรือร่างกฤษฏีกา รวมทั้งร่างกฎหมายของสมาชิกรัฐสภา ในกรณีที่รัฐบาลร้องขอ
- ให้ความคิดเห็นกับรัฐบาลในเรื่องเกี่ยวกับปัญหาเกี่ยวกับเศรษฐกิจ และสังคม แผนงานทุกแผนงานหรือร่างกฎหมายทุกฉบับที่มีลักษณะเกี่ยวกับการวางแผนทางเศรษฐกิจ และสังคมจะต้องนำเสนอสภาเศรษฐกิจและสังคมเพื่อขอความเห็น
4.3 ศาลอาญาชั้นสูง
ศาลอาญาชั้นสูงประกอบด้วยผู้พิพากษาที่เกิดจากสภาทั้งสองในที่ประชุมของแต่ละสภาจำนวนเท่าๆกัน โดยให้สภาผู้แทนราษฎรเลือกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาเลือกจากสมาชิกวุฒิสภา เพื่อประกอบเป็นศาลอาญาชั้นสูง และให้ผู้พิพากษาศาลอาญาชั้นสูงเอกประธานศาลอาญาชั้นสูงจากผู้พิพากษาด้วยกัน
อำนาจหน้าที่ของศาลอาญาชั้นสูง
ศาลอาญาชั้นสูงมีหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาด การกระทำของประธานาธิบดีแห่งรัฐในกรณีทรยศต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรง ประธานาธิบดีจะถูกกล่าวหาว่ากระทำการดังกล่าวได้ก็แต่โดยมติของสภาทั้งสองที่ได้ออกเสียงลงคะแนนอย่างเปิดเผยและได้รับความเห็นชอบในมติดังกล่าว โดยเสียงข้างมากอย่างเด็ดขาดของจำนวนสมาชิกทั้งหมดของแต่ละสภา
5. องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น
องค์กรปกครองท้องถิ่นของสาธารณรัฐ ได้แก่ เทศบาล จังหวัด และดินแดนโพ้นทะเล ในจังหวัดและดินแดนต่างๆให้มีผู้แทนของรัฐบาลทำหน้าที่ดูแลรักษาผลประโยชน์ของชาติ กำกับดูแลการบริหารงานและดูแลให้มีการเคารพต่อกฎหมาย
ลักษณะขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น
1. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจที่จะบริหารงานของตนเองได้อย่างอิสระ
2. การวางระบบกฎหมายและการจัดระเบียบการปกครองจังหวัดโพ้นทะเลอาจปรับเปลี่ยนได้ตามความจำเป็นเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแห่งท้องถิ่น
3. ดินแดนโพ้นทะเลของสาธารณรัฐจะมีการจัดองค์กรบริหารเป็นพิเศษโดยคำนึงถึงผลประโยชน์เฉพาะของดินแดนโดยสอดคล้องกับผลประโยชน์ทั่วไปของสาธารณรัฐ
6. การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ
สมาชิกในคณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดทางอาญา สำหรับการกระทำความผิดที่กระทำในตำแหน่งหน้าที่และปรากฏว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดอุกฤษหรือมัชฌิมโทษในเวลาที่กระทำการ ในกรณีดังกล่าวสมาชิกในคณะรัฐมนตรีจุถูกพิจารณาโดยศาลอาญาแห่งสาธารณรัฐ หรือเรียกว่า ความรับผิดทางอาญาของสมาชิกในคณะรัฐมนตรี
โดยศาลอาญาแห่งสาธารณรัฐประกอบด้วยผู้พิพากษาจำนวน 15 คน โดยที่ผู้พิพากษา 12 คนเลือกมาจากสมาชิกของสภาทั้งสองในที่ประชุมของแต่ละสภาจำนวนเท่าๆกัน ส่วนผู้พิพากษาอีก 3 คนมาจากผู้พิพากษาที่ทำหน้าที่พิจารณาคดีในศาลฎีกา และให้ผู้พิพากษาจากศาลฎีกาคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นประธานศาลอาญาแห่งรัฐ
ขั้นตอนการฟ้องร้องสมาชิกในคณะรัฐมนตรี
1. ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำที่เป็นอุกฤษโทษหรือมัชฌิมโทษของสมาชิกในคณะรัฐมนตรีที่กระทำในตำแหน่งหน้าที่ เข้ายื่นเรื่องต่อคณะกรรมการพิจารณาคำฟ้อง
2. คณะกรรมการพิจารณาคำฟ้องทำการพิจารณาคำฟ้องซึ่งอาจมีมติยกฟ้องหรือส่งฟ้อง
3. กรณีที่คณะกรรมการพิจารณาคำฟ้องมีมติสั่งฟ้องนั้น คณะกรรมการชุดดังกล่าวจะส่งคำฟ้องต่อไปยังประธานผู้พิพากษาที่ทำหน้าที่เป็นพนักงานอัยการในศาลฎีกาเพื่อฟ้องคดีต่อศาลอาญาแห่งรัฐต่อไป
7. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ลักษณะการทำสนธิสัญญาและข้อตกลงระหว่างประเทศ
7.1 ประธานาธิบดีแห่งรัฐเป็นผู้เจรจาและให้สัตยาบันสนธิสัญญาทั้งหลายและจะต้องได้รับรายงานถึงผลการเจรจาเพื่อทำความตกลงระหว่างประเทศที่ไม่ต้องการมีการให้สัตยาบัน
7.2 สนธิสัญญาสงบศึก สนธิสัญญาทางการค้าหรือความตกลงเกี่ยวกับองค์การระหว่างประเทศ สนธิสัญญาหรือข้อตกลงที่มีผลผูกพันทางด้านการเงินต่อรัฐ สนธิสัญญาหรือข้อตกลงที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงบทบัญญัติที่มีลักษณะเป็นกฎหมาย สนธิสัญญาหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสถานภาพของบุคคล สนธิสัญญาหรือข้อตกลงเกี่ยวกับการยกให้ การแลกเปลี่ยน หรือการผนวกดินแดน จะต้องได้รับความเห็นชอบหรือลงสัตยาบัน ในรูปของรัฐบัญญัติ สนธิสัญญาเหล่านี้จะมีผลบังคับใช้ก็ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบหรือลงสัตยาบันแล้ว
7.3 สาธารณรัฐอาจทำความตกลงกับรัฐยุโรปอื่นๆ ซึ่งเคารพต่อความผูกพันต่างๆในลักษณะเดียวกันกับสาธารณรัฐในเรื่องการลี้ภัย และการปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ตลอดทั้งเรื่องเสรีภาพขั้นพื้นฐาน เพื่อที่จะกำหนดขอบเขตอำนาจของแต่ละรัฐในการตรวจสอบให้ความเห็นชอบในการขอลี้ภัย
7.4 ในกรณีที่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญได้พิจารณาวินิจฉัยตามคำร้องของประธานาธิบดีสาธารณรัฐหรือนายกรัฐมนตรีหรือประธานสภาใดสภาหนึ่งหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 60 คน และได้มีมติว่าความผูกพันระหว่างประเทศใดมีข้อความขัดต่อรัฐธรรมนูญ การอนุญาตให้มีการให้สัตยาบัน หรือให้ความเห็นชอบต่อความผูกพันระหว่างประเทศดังกล่าวจะกระทำได้ต่อเมื่อมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว
7.5 สนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศที่ได้ให้สัตยาบันหรือให้ความเห็นชอบและได้ประกาศใช้บังคับโดยชอบแล้ว ย่อมมีฐานะในทางกฎหมายสูงกว่ารัฐบัญญัติ ทั้งนี้ ภายใต้เงื่อนไขที่คู่สัญญาฝ่ายอื่นๆจะต้องบังคับใช้สนธิสัญญาและความตกลงระหว่างประเทศนั้นเช่นเดียวกัน
8. การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
สิทธิที่จะขอเสนอแก้ไขและเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นของประธานาธิบดีตามข้อเสนอของนายกรัฐมนตรี และของสมาชิกรัฐสภา ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมของรัฐบาลหรือสมาชิกรัฐสภาจะต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาทั้งสองในเนื้อความอย่างเดียวกัน การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะมีผลบังคับใช้ได้ภายหลังจากได้รับความเห็นชอบจากประชาชน ด้วยวิธีการออกเสียงลงประชามติแล้ว
อย่างไรก็ตามร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่เสนอโดยประธานาธิบดีอาจไม่ต้องนำมาให้ประชาชนออกเสียงลงประชามติก็ได้ หากประธานาธิบดีตัดสินใจที่จะเสนอให้ที่ประชุมร่วมกันของสองสภาเป็นผู้พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมนั้น ในกรณีร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมจะได้รับความเห็นชอบให้ใช้บังคับ ได้ก็ต่อเมื่อได้คะแนนเสียงเห็นชอบมากกว่า สามในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งสองสภาที่ออกเสียงลงคะแนน ในกรณีที่มีการประชุมร่วมกันนี้ ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่สำนักงานของที่ประชุมร่วม
บทสรุปรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส
รัฐธรรมนูญของประเทศฝรั่งเศสในข้างตนสามารถสรุปภาพรวมโดยสังเขปเกี่ยวกับโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ได้ดังต่อไปนี้
- ประเทศฝรั่งเศสปกครองในระบบรัฐเดี่ยวในรูปแบบของสาธารณรัฐ
- ประเทศฝรั่งเศสใช้ระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในรูปแบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ
- สถาบันทางการเมืองของฝรั่งเศสสามารถแบ่งแยกได้ออกเป็น 3 ส่วน คือ
1) สถาบันนิติบัญญัติ (รัฐสภา) มีหน้าที่หลักในการตรารัฐบัญญัติและกฎหมาย โดยรัฐสภาฝรั่งเศสเป็นระบบสภาคู่ คือมี 2 สภา ได้แก่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
2) สถาบันบริหาร (รัฐบาล) มีหน้าที่หลักในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยระบบบริหารเป็นระบบบริหารที่มีลักษณะเป็นทวิภาค ซึ่งหมายถึง มีผู้มีอำนาจสั่งการสองคน คือ ประธานาธิบดีแห่งรัฐ และนายกรัฐมนตรี ซึ่งตำแหน่งประธานาธิบดี มาจากการเลือกตั้งโดยตรงโดยประชาชน ส่วนนายกรัฐมนตรีมาจากการแต่งตั้งของประธานาธิบดี โดยผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการบริหารราชการแผ่นดินนั้นได้แก่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี
3) สถาบันตุลาการ (ศาล) เป็นหน่วยงานที่มีความเป็นอิสระ มีหน้าที่หลักในการพิจารณาพิพากษาคดีความต่างๆ สถาบันที่ควบคุมดูแลการทำหน้าที่ของสถาบันตุลาการคือ คณะกรรมการตุลาการ โดยคณะกรรมการตุลาการ สามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของผู้พิพากษาที่ทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษาและผู้พิพากษาที่ทำหน้าที่เป็นอัยการโดยคณะกรรมการตุลาการแต่ละชุดมีประธานาธิบดีเป็นประธานคณะกรรมการตุลาการทั้ง 2 ส่วน
- ตามรัฐธรรมนูญยังจัดให้มีองค์กรต่างๆนอกเหนือจาก 3 สถาบันหลัก เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ( เทศบาล จังหวัด ดินแดนโพ้นทะเล ) หรือองค์กรอื่นๆตามรัฐธรรมนูญ ( คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ สภาเศรษฐกิจและสังคม ศาลอาญาชั้นสูง)