การยุบสภาผู้แทนราษฎร ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญนั้น ได้มีรัฐบาลบางสมัยใช้อำนาจดังกล่าว มาแล้วรวม 11 ครั้งคือ
1. สมัยพลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ยุบสภาผู้แทนราษฏรเมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2480 เนื่องจากสภาผู้แทนราษฏรเสนอให้คณะรัฐบาลร่างพระราชบัญญัติงบประมาณที่มีรายรับ และรายจ่ายโดยละเอียด ซึ่งรัฐบาลค้าน แต่สภามีมติเห็นด้วยคะแนน 45 ต่อ 31 รัฐบาลจึงยื่นใบลาออกต่อคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แต่คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไม่ยอมรับใบลาออก เนื่องจากสถานการณ์ขณะนั้นล่อแหลมต่อภาวะสงครามจึงมี พระราชกฤษฎีกายุบสภา | |
2. สมัย ม.ร.ว เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2488 เนื่องจากเห็นว่ามีการยืดอายุสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างสงครามมานานแล้วสมควรให้มีการเลือกตั้งขึ้นใหม่ | |
3. สมัย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ. ศ.2519 เนื่องจากมีเหตุวุ่นวาย และการแย่งชิงตำแหน่ง และผลประโยชน์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกันมาก รวมทั้งพยายามบีบคั้นรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา | |
4. สมัยพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดที่ 45 ได้ยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2526 เนื่องจากได้มีการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และประชาชนยังมีความคิดเห็นแตกต่างก้ำกึ่งกันอยู่ หากให้มีการเลือกตั้งตามวิธีใหม่ อาจนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงทางการเมืองได้ จึงให้ยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งทั่วไปตามวิธีการเดิมไปก่อน | |
5. สมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดที่ 46 ได้ยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 เนื่องจากสภาผู้แทนราษฎรมี มติไม่ อนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 พ.ศ. 2529 และจากการพิเคราะห์สาเหตุแห่งการไม่ยอมอนุมัติพระราชกำหนดดังกล่าวรัฐบาลเห็นว่า สภาผู้แทนราษฎรมิได้คำนึงถึง เหตุผลในการตราพระราชกำหนด หากสืบเนื่องมาจากความแตกแยกในทางการเมืองของพรรคการเมืองบางพรรคและ หากให้สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ยังคงทำหน้าที่ต่อไป ย่อมเป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดินและกระทบถึงประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ และจะนำมาซึ่งความเสื่อมโทรมของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย จึงให้ยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่ | |
6. สมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล ชุดที่ 47 ได้ยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2531 เนื่องจากพรรคการเมืองต่างๆ หลายพรรคไม่สามารถจะดำเนินการในระบบพรรคการเมืองได้อย่างมีเอกภาพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสังกัดพรรคการเมืองยังไม่ยอมรับรู้ความคิดเห็นหรือมติของสมาชิกฝ่ายข้างมากในพรรคของตนอันเป็นการขัดต่อ วิถีทางการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และก่อให้เกิดปัญหาอุปสรรคในการบริหารราชการแผ่นดินและการพัฒนา ประเทศเป็นอย่างมาก จึงให้ยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่ | |
7. สมัยนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดที่ 52 ได้ยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2535 เนื่องจากประเทศตกอยู่ในภาวะวิกฤตทางการเมืองต้องการคืนอำนาจการตัดสินใจทางการเมืองกลับไปให้ประชาชน เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกผู้สภาผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่ | |
8.สมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดที่ 53 ได้ยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 เนื่องจากพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลแตกแยกจนไม่เป็นเอกภาพเป็นอุปสรรคต่อการบริหารบ้านเมือง และการพัฒนาประเทศ รวมทั้งปัญหา สปก.4-01 เกี่ยวกับที่ดิน | |
9. สมัยนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดที่ 54 ได้ยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2539 เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งแตกแยกระหว่างพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล ภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน และนายกรัฐมนตรี ถูกกดดันให้ลาออก |
10. สมัย พตท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลคณะรัฐมนตรีคณะที่ 55 (11 มีนาคม 2548 - 24 กุมภาพันธ์ 2549) ได้เกิดการชุมนุมสาธารณะตั้งข้อเรียกร้องในทางการเมืองขึ้น ซึ่งแม้ระยะแรกจะอยู่ในกรอบของกฎหมาย แต่เมื่อนานวันเข้า การชุมนุมเรียกร้องได้ขยายตัวไปในทางที่กว้างขวางและอาจรุนแรงขึ้น รวมทั้งส่อเค้าว่าจะมีการเผชิญหน้า จนอาจปะทะกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและอาจมีการสอดแทรก ฉวยโอกาสจากผู้ที่ประสงค์จะเห็นความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง จุดชนวนให้เกิดความรู้สึกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน จนลุกลามถึงขั้นก่อการจลาจลวุ่นวาย สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้
ครั้นจะใช้อำนาจเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองเข้าควบคุมดูแลอย่างเข้มงวด หรือแม้แต่รัฐบาลได้พยายามดำเนินการตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ ด้วยการขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติในที่ประชุมรัฐสภาแล้ว ก็ยังไม่อาจแก้ไขปัญหาและความคิดเห็นพื้นฐานที่แตกต่างกัน ทั้งระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องกับรัฐบาล และระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องกับกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่เห็นด้วย และประสงค์จะเคลื่อนไหวบ้าง จนอาจเกิดการปะทะกันได้ สภาพเช่นว่านี้ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยภายใต้ระบบรัฐสภา และความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยเฉพาะในขณะนี้ ซึ่งควรจะสร้างความสามัคคีปรองดอง
การดูแลรักษาสภาพของบ้านเมืองที่สงบร่มเย็นน่าอยู่อาศัย น่าลงทุน และการเผยแพร่ความวิจิตรอลังการ ตลอดจนความดีงามตามแบบฉบับของไทยให้เป็นที่ประจักษ์ เมื่อปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นความคิดเห็นในสังคมที่หลากหลาย และยังคงแตกต่างกันจนกลายเป็นคามขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงเช่นนี้ ครั้นจะดำเนินการเพื่อตรวจสอบความประสงค์อันแท้จริงของประชาชน โดยประการอื่น เพื่อให้ทุกฝ่ายหยั่งทราบ แล้วยอมรับให้เป็นไปตามกลไกในระบอบประชาธิปไตยก็ทำได้ยาก
ทางออกในระบอบประชาธิปไตยที่เคยปฏิบัติมาในนานาประเทศ และแม้แต่ในประเทศไทย คือการคืนอำนาจการตัดสินใจทางการเมือง กลับไปสู่ประชาชนด้วยการยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปขึ้นใหม่ตามบทบัญญัติ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป
11. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 และคณะรัฐมนตรีคณะที่ 59 ของไทย 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551 - 9 พฤษภาคม 54 สาเหตุวิกฤติทางการเมือง